โอกาสซ่อนอยู่ในวิกฤต!! อาลีบาบา ในวันที่ทุกคนหันหน้าหนี พวกเขายังคงแข็งแกร่งอยู่หรือไม่ (ตอนที่ 1)

นับตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2020 จนถึงวันนี้ (25 สิงหาคม 2021) มูลค่าหุ้นของบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีนอย่าง อาลีบาบา หายไปมากกว่า 40% แล้ว นี่คือผลกระทบระยะยาวที่เริ่มมาตั้งแต่ผู้ก่อตั้งอย่างนายแจ็ค หม่า ไปวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเงินของจีนจนถูกเรียกไปปรับทัศนคติกันยกใหญ่ช่วงปลายปี 2020 หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยการระงับบริษัทลูกของ อาลีบาบา อย่าง Ant Group จากการระดมทุน โดยทางการจีนให้เหตุผลว่าทาง Ant Group จำเป็นต้องมีการปรับรูปแบบการทำธุรกิจให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ใหม่ของทางการจีนซะก่อน เรื่องหลังจากนั้นก็ขยายต่อเนื่องจากแค่ อาลีบาบา ไปสู่การเข้าควบคุมบริษัทเทคโนโลยีทั้งหมดของจีนอย่างที่เรารู้กัน

แต่วันนี้เราจะมาดู อาลีบาบา (หรือจะขอเรียกจากนี้ว่า บาบา เท่านั้นเพื่อให้สั้นและง่ายสำหรับคนพิมพ์) จากภายในกันบ้าง ตอนนี้สำหรับหลายคนแลดูกังวลโดยเฉพาะใครที่กำลังลงทุนอยู่ในหุ้นของ บาบา อาจจะรู้สึกกังวลใจจากการถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากรัฐบาลจีนในขณะนี้ ซึ่งดูเหมือนจะไม่หยุดลงง่าย ๆ เพราะนักวิเคราะห์หลายฝ่ายประเมินว่าการเข้าจัดการของรัฐบาลจีนในครั้งนี้น่าจะกินระยะเวลาไปอีกสักพักใหญ่ ๆ เลย ต้องบอกจีนปล่อยให้บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้เติบโตและร่ำรวยมามากแล้ว ถึงตอนนี้ก็ได้เวลาควบคุมยักษ์ใหญ่เหล่านี้ไม่ให้โตเกินไปจนสร้างความเหลื่อมล้ำให้กับประเทศ

แต่แม้จะมีข่าวร้ายเข้ามาไม่หยุดจนทำให้มูลค่าบริษัทปรับตัวลดลงมากมาย แต่ในความเป็นจริง บาบา แย่ขนาดนั้นจริงไหม ยังคงเป็นบริษัทที่ดีแข็งแกร่งและมีอนาคตอยู่ไหม มาหาคำตอบกัน

บาบา เพิ่งประกาศผลการดำเนินงานออกมาสำหรับ ไตรมาสแรกตามบัญชีของปี 2021 (เนื่องจาก บาบา นับไตรมาสแรก คือ 1 เมษายน ทำให้ปิดไตรมาสแรกของ บาบา จะเป็นเดือนมิถุนายน 2021) ปรากฎว่าผลการดำเนินงานของ บาบา ดีขึ้นทำรายได้รวมอยู่ที่ 31,865 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่หากแยกรายได้ที่เป็นส่วนของ Sun Art Retail Group ออกไป บาบา จะเติบโตอยู่ที่ 22% หรือ 29,010 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ตัวเลขผู้ใช้งาน Alibaba Ecosystem ทั่วทั้งโลกพุ่งแตะ 1,180 ล้านคน เมื่อสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2021 โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านหากนับจาก 31 มีนาคม 2021 มาจนถึง 30 มิถุนายน 2021 มีคนใช้เพิ่มขึ้นถึง 45 ล้านคน นี่รวม 912 ล้านคนสำหรับในประเทศจีน และ 265 ล้านคนสำหรับต่างชาติผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Lazada, AliExpress, Trendyol และ Daraz เป็นต้น

รายได้จากการดำเนินงานของ บาบา อยู่ที่ 4,778 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่กำไรหลังปรับ Adjusted EBITDA (กำไรหลังจะหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย) ลดลงแค่ 5% อยู่ที่ 7,532 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และหากเป็นกำไรหลังปรับ Adjusted EBITA (กำไรหลังจะหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย, ภาษี และค่าตัดจำหน่าย) ลดลง 8% อยู่ที่ 6,463 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยทาง บาบา บอกว่าเหตุผลที่ลดลงนั้นมาจากการลงทุนของบริษัทที่เป็น ด้านกลยุทธ์ของพวกเขาเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร เช่น Community Marketplaces, ดีลของ Taobao, บริการลูกค้าท้องถิ่น และลาซาด้า เป็นต้น นอกจากนั้นยังรวมไปถึงการเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อการเติบโตขั้นต้นใน China retail marketplaces เช่น Idle Fish, Taobao Live และการสนับสนุนพ่อค้า

ด้านเงินสดสุทธิจากการดำเนินกิจการอยู่ที่ 5,204 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระแสเงินสดอิสระ 3,203 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลัก ๆ มาจากค่าปรับที่ถูกทางหน่วยงานกำกับดูแลเรื่องการผูกขาดเรียกเก็บ และการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่สำคัญ ๆ ของบริษัท

ขอจบ ตอนที่ 1 ไว้แค่นี้ก่อน เดี๋ยวเรามาต่อตอนที่ 2 กันครับ บาบา เนื้อเยอะ เล่าได้ยาว ตอนเดียวเอาไม่อยู่

เขียนและเรียบเรียง : เอกพล มงคลพัฒนกุล

ที่มา : Alibaba

ติดตาม Business+ ได้ที่ thebusinessplus.com
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHC

#Businessplus #Alibaba #Ecommerce #ค้าปลีก #อาลีบาบา #หุ้น #การลงทุน #อีคอมเมิร์ซ