เช็ค 6 ความท้าทายองค์กร ขัดขวางการสร้างสรรค์นวัตกรรม

สถานการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2020 ชี้ให้เห็นว่าบริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวและสร้างสรรค์นวัตกรรม ภายในเวลาอันรวดเร็วและครอบคลุมเพื่อที่จะให้ธุรกิจสามารถอยู่รอด และที่แน่ ๆ คือ เรื่องนี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่คนในแวดวงธุรกิจแต่อย่างใด กล่าวคือ จากผลการศึกษาของ McKinsey ระบุว่า มีบริษัทเพียง 8% ที่เชื่อว่าโมเดลธุรกิจของตนเองจะยังสามารถใช้ได้ดีจนถึงช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในรอบถัดไป แต่ก็มีปัญหาท้าทายใหม่ทางด้านเทคโนโลยีบางประการที่จำเป็นจะต้องหยิบยกมาพิจารณา

 

6 ความท้าทายสู่การปรับตัว 

  1. การพัฒนา Custom Code ถือเป็นเรื่องยาก

ปัจจุบัน โครงการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันส่วนใหญ่ใช้โค้ดที่พัฒนาขึ้นเอง หรือ Custom Code แต่การเขียนโค้ดประเภทนี้ กลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นกว่าในอดีต และสุดท้ายแล้วโครงการจำนวนมากก็ต้องล้มเหลว เนื่องจากเหตุผลจากการพัฒนาด้วย Custom Code นี้ ส่วนสาเหตุที่ทำให้การเขียน Custom Code เป็นเรื่องยากมีหลายสาเหตุ อาทิ เทคโนโลยีมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องมีการเขียนโค้ดเพิ่มขึ้นอย่างมาก

 

ขณะที่ทุกวันนี้ นักพัฒนาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจัดการและดูแลรักษาโค้ดที่มีอยู่ จนแทบไม่มีเวลาเหลือสำหรับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ทำให้การตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานที่ไม่เกี่ยวข้องกับฟังก์ชันการทำงานโดยตรง เช่น การรักษาความปลอดภัย กลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น ถ้าคุณลองดูข้อซักถามของนักวิเคราะห์ระบบ คุณก็จะพบว่าปัญหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของวิธีการจัดการเรื่องของความปลอดภัย รวมถึงการขาดแคลนบุคลากรด้านการพัฒนา ซึ่งนำไปสู่ปัญหาท้าทายถัดไป

 

  1. ช่องว่างด้านทักษะ

เป็นเรื่องยากที่จะสรรหานักพัฒนาให้เพียงพอสำหรับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามที่บริษัทต้องการ โดยส่วนใหญ่องค์กรมีปัญหาขาดแคลนทักษะและบุคลากร ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการปรับใช้สถาปัตยกรรมไอทีที่ทันสมัยภายในเวลาอันรวดเร็ว จึงไม่สามารถเพิ่มความคล่องตัวให้กับธุรกิจได้อย่างที่ควรจะเป็น แม้กระทั่งบริษัทชั้นนำในซิลิคอนวัลเลย์ ยังประสบปัญหาเกี่ยวกับการว่าจ้างนักพัฒนาภายในกรอบเวลาที่รวดเร็ว และปัญหานี้ก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นไปอีกสำหรับบริษัทที่ไม่น่าดึงดูดใจในสายตาของนักพัฒนา

 

  1. เทคโนโลยีที่แยกเป็นส่วน ๆ ไม่เชื่อมต่อกันภายในบริษัท

โดยมากแล้วการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันโครงการแรก ๆ มักจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านการปรับปรุงประสบการณ์สำหรับลูกค้า และหลังจากนั้นบริษัทก็เลือกเครื่องมือเฉพาะด้านสำหรับรองรับโครงการดังกล่าว จากนั้น อีกทีมงานหนึ่งภายในบริษัทก็เริ่มต้นคิดที่จะดำเนินโครงการเกี่ยวกับระบบหลังบ้าน และเลือกใช้เครื่องมือที่ต่างออกไป และต่อมาอีกทีมหนึ่งก็ต้องการสร้าง Dashboard แสดงผลเรื่องการปฏิบัติงาน โดยเลือกใช้เครื่องมืออีกตัวหนึ่ง

 

นี่เป็นสถานการณ์ที่พบเห็นได้ทั่วไป แทนที่บริษัทจะเลือกใช้เทคโนโลยีที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้น เพื่อรองรับโครงการธุรกิจที่หลากหลาย กลับกลายเป็นว่ามีการใช้เครื่องมือมากมายที่ไม่เชื่อมต่อกัน ส่งผลให้เกิดระบบต่าง ๆ ที่แยกออกจากกัน และนำไปสู่ทางตันในท้ายที่สุด

 

  1. หนี้ทางเทคนิค

หนี้ทางเทคนิค (Technical Debt) หมายถึง เทคโนโลยีที่ถูกติดตั้งใช้งานเพื่อประโยชน์ในระยะสั้น ซึ่งมักจะเป็นผลมาจากการด่วนตัดสินใจโดยขาดความรอบคอบ แทนที่จะพัฒนาระบบอย่างรอบด้านในลักษณะที่ถูกต้องเหมาะสม และผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ แอปฯ ที่ใช้ทรัพยากร เวลา และพลังงานอย่างสิ้นเปลืองและเปล่าประโยชน์ และบั่นทอนขีดความสามารถของบริษัทฯ ในการแข่งขัน การสร้างสรรค์นวัตกรรม และการปรับตัวสำหรับอนาคต

 

โดยจากผลการศึกษาล่าสุด มีการประเมินว่า หนี้ทางเทคนิคอาจก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายประมาณ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อองค์กรธุรกิจในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยองค์กรต่าง ๆ จะต้องใช้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวไปกับการปรับแก้และดูแลรักษาโค้ด ที่เคยถูกเขียนขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานระยะสั้น ซึ่งถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง ก็เท่ากับงบประมาณกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวันที่สามารถนำไปใช้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรม และการคิดค้นไอเดียใหม่ ๆ เพื่อชิงตัดหน้าคู่แข่ง

 

 

  1. คลาวด์คอมพิวติง

ระบบคลาวด์คอมพิวติงให้ประโยชน์มากมายแก่องค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับขนาดของระบบได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กดปุ่ม การเข้าถึงระบบจากทุกอุปกรณ์ ทุกที่ ทุกเวลา หรือการคิดค่าบริการตามระดับการใช้งานจริง อย่างไรก็ตาม การโยกย้ายไปสู่ระบบคลาวด์อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป และอาจทำให้การดำเนินงานหยุดชะงัก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแผนการพัฒนาธุรกิจในอนาคต

 

นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลใจอีกหลายเรื่องที่ผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องพิจารณา เช่น ปัญหาเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ความยุ่งยากซับซ้อนในการจัดการ การต้องผูกติดอยู่กับผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง ประสิทธิภาพและความเร็วในการเข้าถึง ซึ่งนี่เป็นเพียงปัญหาส่วนหนึ่งที่ผู้บริหารจะต้องพิจารณาในการเลือกพาร์ตเนอร์ที่ดีที่สุดสำหรับโครงการคลาวด์

 

  1. การก้าวให้ทันกับเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

เราทุกคนตระหนักดีว่า การแพร่ระบาดของ Covid-19 ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ  ขณะที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง บริษัทต่าง ๆ จึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อรูปแบบการใช้เทคโนโลยีของผู้คน

 

ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ ระบบ 5G ซึ่งจะก่อให้เกิดแอปพลิเคชันรูปแบบใหม่ ๆ ในโลกธุรกิจ อุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาการให้บริการภาคสนามหรือการกระจายสินค้าอาจได้รับผลกระทบอย่างมากจากเทคโนโลยี 5G

 

อีกตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวข้องกับอนาคตที่ไกลออกไป เป็นผลงานของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ในส่วนที่เกี่ยวกับอินเทอร์เฟซระหว่างคนกับคอมพิวเตอร์ โดยบริษัท Neuralink Corporation ของเขากำลังศึกษาวิจัย เพื่อค้นหาวิธีการเชื่อมต่อสมองของมนุษย์เข้ากับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเทคโนโลยีที่ว่านี้จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อโลกของเราอย่างแน่นอน 

 

ด้วยเหตุนี้ บริษัทต่าง ๆ จึงจำเป็นที่จะต้องสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและก้าวให้ทันกับความก้าวหน้าใหม่ ๆ ทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งถึงแม้ในตอนนี้อาจดูเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นโลกวิถีใหม่หรือ New Normal ในวันข้างหน้าก็เป็นได้

 

 

 

 

ผู้เขียน : นายเติมศักดิ์ วีรขจรพงษ์ รองประธานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอาท์ซิสเต็มส์