Office of the United States Trade Representative (USTR) เผยรายงานประจำปี Special 301 Report
(รายงานสรุปผลตรวจสอบความเหมาะสม และประสิทธิภาพของประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ ในการให้ความคุ้มครองและบังคับใช้กฎหมายสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา)
ระบุประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ที่ต้องเฝ้าระวังในเรื่องของ การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา มีที่อยู่ด้วยกันทั้งหมด 32 ประเทศ
โดยแบ่งออกเป็น Priority Watch List (กลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ) และ Watch List (กลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังรองลงมา)
สำหรับ Priority Watch List มีจำนวน 9 ประเทศ ได้แก่
Argentina, Chile, China, India, Indonesia, Russia, Saudi Arabia, Ukraine และ Venezuela
และ Watch List มีจำนวน 23 ประเทศ
ซึ่งหนึ่งในหนึ่งนั้น ก็มี ประเทศไทย อยู่ด้วย
(สำหรับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ Algeria, Barbados, Bolivia, Brazil, Canada, Colombia, Dominican Republic, Ecuador, Egypt, Guatemala, Kuwait, Lebanon, Mexico, Pakistan, Paraguay, Peru, Romania, Trinidad and Tobago, Turkey, Turkmenistan Uzbekistan และ Vietnam )
ทั้งนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาประเทศไทย จะพยายามปรับปรุงกฎหมายสิทธิบัตรและกฎหมายลิขสิทธิ์ใหม่ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หรือ ร่วมงานกับ National Committee on Intellectual Property และคณะอนุกรรมการ ด้านการบังคับใช้กฎหมายกับการละเมิดทรัพยสินทางปัญญา เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาระหว่าง หน่วยงานภาครัฐ แล้วก็ตาม
แต่ด้านสหรัฐฯ ก็ยังคงมีความวิตกกังวลกับประเทศไทยอยู่ ทั้งในเรื่อง
- ประเทศไทยยังคงมีสินค้าปลอม และละเมิดลิขสิทธิ์วางจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ทั้งในตลาดทั่วไปและในตลาดออนไลน์
- ประเทศไทยยังคงมีการละเมิดลิขสิทธิ์ในระดับสูงในการ stream และ download contents ต่างๆ ผ่านทางการใช้ ISD (International Subscriber Dialing) และแอปพลิเคชั่น IPTV (Internet Protocol Television) ที่ผิดกฎหมาย
- ยังคงมีการใช้ Camcorders บันทึกภาพยนตร์ที่ออกฉายใหม่ในโรงภาพยนตรแลวนำไปเผยแพร่ผ่านชองทางออนไลน์
- ภาครัฐบาลและเอกชนไทยยังคงใช้ Software โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ อย่างแพร่หลาย
- ยังคงขาดประสิทธิภาพในการคุ้มครองและการป้องกันการเปิดเผยความลับ / การขโมยความลับทางการค้า (Trade Secrets) ของธุรกิจสหรัฐฯ
- มีความล่าช้าในการพิจารณาการยื่นขอสิทธิบัตรยาหลายรายการ
- กฎหมายและระบบคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และลิขสิทธิ์ยังคงไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เช่น กระบวนการพิจารณา บังคับใช้กฎหมายยังคงใช้เวลานาน และให้มูลค่าความเสียหายในระดับต่ำ
- ในการทำประชาพิจารณาภาคเอกชน สหรัฐฯที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หลายราย แสดงความวิตกกังวลที่ประเทศไทยออกกฎหมาย ที่ทำให้เกิดการเข้มงวดเรื่อง Content Quota สำหรับภาพยนตร์ (หรือ การกำหนดโควต้าจำนวนภาพยนตร์ ที่ผลิตโดยภาคธุรกิจภายในประเทศ ซึ่งระบบนี้ เรียกได้ว่าเป็นการกีดกันทาง การค้ารูปแบบหนึ่ง)
สำหรับข้อมูลการยึดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ที่ส่งเข้ามายังสหรัฐฯ
ช่วงเดือน ตุลาคม 2019 – กันยายน 2020
ยึดได้ทั้งสิ้น 26,503 รายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,300 ล้านเหรียญฯ
ช่วงเดือนตุลาคม – 31 ธันวาคม 2020
ยึดได้ทั้งสิ้น 6,197 รายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 752.7 ล้านเหรียญฯ
อย่างไรก็ตาม จำนวนการยึดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ที่นำเข้าจากประเทศไทย ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ คิดเป็น 0.2% ของสินค้าที่ถูกตวรจยึดทั้งหมด
ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ สหรัฐฯ มีการขยายตัวด้านเศรษฐกิจไปในทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้อัตราการนำเข้าสินค้าเติบโตขึ้นถึง 6.3% คิดเป็นมูลค่ากว่า 2.75 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ
รวมถึงในอนาคตก็แนวโน้มที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ และการเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชน
ที่สำคัญ สหรัฐฯเอง ก็เป็นตลาดส่งออกสำคัญที่สุดและมีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของไทย คิดเป็น 15% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าประเภทอุปโภคบริโภค สินค้าแฟชั่น และสินค้าอุตสาหกรรม
ดังนั้น หากไทยยังติดอยู่ใน Watch List ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าในระยะยาวได้
.
.
.
ข้อมูลอ้างอิง: The Office of the United States Trade Representative: Annual Special 301 Report on Intellectual Property Protection
Consumer Demand Drove U.S. Imports to Record High in March, The Wall Street Journal