ศึก Streaming Services บังลังก์ Netflix กำลังต้องสั่นคลอน

ปัจจุบันเรียกได้ว่า ตลาดสตรีมมิ่งความบันเทิงทั้งภาพยนต์และซีรีย์นั้น เต็มไปด้วยการแข่งขันเข้มข้น ถึงแม้ผู้บุกเบิกธุรกิจอย่าง NetFlix จะเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในขณะนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถครองตำแหน่งนี้ไปได้ตลอดกาล
ในปีที่ผ่านมาสมรภูมิธุรกิจสตรีมมิ่งต้องลุกเป็นไฟทั่วโลก เมื่อทั้ง Disney+ ของวอลท์ดีสนีย์
,HBO Max ของเอทีแอนด์ที ยักษ์สื่อสารและบันเทิงอันดับ 1 ของสหรัฐอเมริกา
,Amazon Prime Video ของอเมซอน ยักษ์อีคอมเมิร์ซอันดับ 1 ของโลก
และ Hulu ซึ่งมีวอลท์ดีสนีย์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ต่างก็ลงมาเล่นในตลาดกันอย่างดุเดือด ด้วยการเปิดตัวของบริการสตรีมมิ่งส่งวิดิโอความบันเทิงออนดีมานด์ ทั้งแบบที่จ่ายเงินและไม่จ่ายเงินบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
.
โดยปัจจุบันสัดส่วนตลาด Streaming service ในสหรัฐฯ แบ่งออกดังนี้
#NetFlix เสียสัดส่วนตลาดไป 9% แต่ยังครองอันดับ 1 จาก 29% เหลือ 20%
#Amazon Prime Video จากส่วนแบ่งตลาด 21% เหลือ 16%
#Hulu ลดเหลือ 13% จากที่เดิมเคยครองส่วนแบ่ง 16%
.
สำหรับบางเจ้าก็เพิ่มสัดส่วนสวนทางกัน (หรือเท่าเดิม) ได้แก่
#HBO Max (รวม HBO Go และ HBO Now) เพิ่มขึ้น 3% เป็น 12%
#Disney+ ครองสัดส่วนที่ 11%
#Peacock เพิ่มในอัตราสูงสุดจาก 0% เป็น 5% (เมื่อสิ้นปี 2563)
.
ทั้งนี้ทางเว็บไซต์ข่าว cnbc.com ได้ประเมินว่าเป็นเรื่องยาก ที่จะคาดการณ์ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งหนังรายใดจะเป็นผู้ชนะหรือแพ้ในสงครามสตรีมมิ่งนี้ เนื่องจากผู้ประกอบการแต่ละรายมีโมเดลธุรกิจและเป้าหมายองค์กรต่างกัน อาทิ Peacock มีเวอร์ชันที่ให้ดูฟรีมีโฆษณา ส่วน Discovery + ตั้งเป้าเป็นช่องเสริมให้กับผู้ให้บริการรายอื่น
.
และสิ่งที่น่าสนใจคือ กิจการวิดิโอสตรีมมิ่งจะอยู่ได้อย่างยั่งยืน ควรจะต้องมีสมาชิกอย่างต่ำ 50 ล้านรายในสหรัฐอเมริกา และอีก 200 ล้านรายทั่วโลก เพื่อให้สามารถแข่งกับ Google และ Facebook ซึ่งครองตลาดโฆษณาออนไลน์อยู่ในขณะนี้
.
นั่นหมายความว่า การขยายบริการสตรีมมิ่งไปสู่ตลาดโลกได้นั้น ผู้ให้บริการจะต้องเตรียมงบประมาณไม่น้อยทีเดียว เพื่อผลิตภาพยนต์และซีรีย์สำหรับตลาดในแต่ละภูมิภาค
.
.
#Netflix
ในเดือนมกราคม 2564 มีจำนวนสมาชิก ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดารวมกัน 73.94 ล้านราย
(โดยมีการประเมินจากนักวิเคราะห์ว่าสมาชิกในสหรัฐอเมริกาน่าที่จะอยู่ที่ 67 ล้านราย และมีสมาชิกทั่วโลกอยูในระดับ 200 ล้านราย)
.
ในไตรมาสแรกปี 2564 มีสมาชิกทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3.98 ล้านราย ซึ่งต่ำกว่าประมาณการก่อนหน้านี้ที่ 6.2 ล้านรายค่อนข้างมาก
และไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มเพียง 1 ล้านราย เนื่องจากสาเหตุหนึ่งเกิดจากที่บริษัทต้องเลื่อนเปิดตัวหนังและโชว์ใหญ่ ๆ
.
อย่างไรก็ตามในไตรมมาสแรกปีนี้ Netflix ก็สามารถทำรายได้สูงกว่าที่คาดไว้ จากเดิมคาดไว้ที่ 7,130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 7,160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
.
ซึ่งกลยุทธ์ที่ Netflix เดินหน้าลุยต่อเนื่อง คือการลงทุนสนับสนุนการผลิต ‘Local Content’ ในประเทศต่าง ๆ เพราะเชื่อว่าตลาดในสหรัฐฯ เริ่มอิ่มตัวแล้ว พร้อมกับขึ้นค่าสมาชิกในตลาดอเมริกา เนื่องจากคอนเทนท์ที่เพิ่มขึ้น และเชื่อว่าลูกค้าชาวอเมริกันยังมีความเหนียวแน่นอยู่กับช่องของบริษัท
รวมถึงประกาศจะเปิดตัวหนังใหม่ 71 เรื่องในปีนี้ซึ่งเท่ากับ 1 เรื่องในทุกสัปดาห์
.
ยอดลงทุนผลิตคอนเทนท์ใหม่สำหรับตลาดนานาชาติ
ปี 2562 ลงทุน 13,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปี 2563 ลงทุน 11,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปี 2564 ลงทุน 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ซึ่งเป็นการลงทุนที่สูงที่สุดในรอบ 3 ปี)
.
สำหรับผลประกอบการที่ผ่านมา
_ปี 2563 ทำรายได้รวม 20,156 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
กำไรสุทธิ 2,761 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
_ไตรมาสแรกปี 2564 ทำรายได้รวม 7,163
กำไรสุทธิ 1,706 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
(เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่บริษัทมีอัตรากำไรต่อการดำเนินงานสูงถึง 27 % ทำให้ผู้บริหารตัดสินใจเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีตั้งวงเงิน 5,000 ล้านดอลลาร์ซื้อหุ้นคืน หลังจากที่ราคาหุ้นตก 11 %ในวันที่ 20 เมษายน 2564 จากความกังวลของนักลงทุนต่อจำนวนสมาชิกใหม่ที่ได้น้อยกว่าที่คาดการณ์)
.
แต่นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีตยังกังวลต่ออนาคตของ Netflix ว่าจะสามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดไปได้นานขนาดไหน ในเมื่อบรรดาผู้ผลิตคอนเทนท์อย่าง วอลท์ดีสนีย์ ยูนิเวอร์แซล วอร์เนอร์บราเดอร์และดีสคอฟเวอรี่ ที่เคยส่งคอนเทนท์ให้เน็ตฟลิตซ์ กลับหันมาเปิดบริการสตรีมมิ่งของตัวเอง
.
.
.
ส่วนอีกหนึ่งคู่แข่งที่ขยายตัวอย่างเงียบ ๆ แต่มีผู้ใช้ทั่วโลกมากทีเดียว นั่นก็คือ #Amazon_Prime_Video
.
ปี 2563 สมาชิกราว 175 ล้านราย และเมื่อต้นปี 2564 นี้ มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมากกว่า 200 ล้านราย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอเมซอนไพร์มวิดิโอ มุ่งสู่สถานะความยั่งยืนทางธุรกิจเช่นกัน (ก่อนหน้านี้ ปี 2560 มีสมาชิกเพียง 26 ล้านคน)
.
โดยกลยุทธ์ลุยตลาด คือการซื้อค่ายหนังสิงโตคำราม MGM Studios ในราคาประมาณ 8,450 ล้านดอลลาร์ เพื่อนำมาเสริมทัพคอนเทนท์ สู้กับเน็ตฟลิตซ์ ดีสนีย์ และรายอื่น ๆ
.
ซึ่ง MGM Studios มีคลังภาพยนตร์กว่า 4,000 เรื่อง และรายการทีวีชื่อดัง ๆ 17,000 เรื่องอาทิ James Bond, Rocky pink panther, Stargate รวมทั้งรายการเรียลลิตี้โชว์อย่าง Survivor , The voice ฯลฯ
.
ร่วมด้วยอเมซอนมีสตูดิโอเป็นของตัวเอง ก็เดินหน้าผลิต Content และ Local content แบบเดียวกับเน็ตฟลิตซ์ มีหนังดังในไลบรารี่ อาทิ Coming 2 America, Mr. and Mrs. Smith (Remake), The Tomorrow War ไม่นับรวมไลเซนส์การถ่ายทอดสดกีฬาที่อเมซอนมีอยู่ในมือจำนวนหนึ่ง ทำให้เห็นว่าอเมซอน เตรียมสู้ศึกกับเน็ตฟลิตซ์และดีสนีย์อย่างไม่ยอมถอยเช่นกัน
.
ยอดจำนวนเงินลงทุน
ปี 2562 ลงทุน 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ไตรมาสแรกปี 2563 ลงทุน 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ไตรมาสแรกปี 2564 ลงทุน 7,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ยังมี Disney+ และ HBO Max คู่แข่งมาแรง ที่เน้นจุดขายคอนเทนต์หนังโรงลงแพลตฟอร์มล่อใจแฟนหนัง โดยเฉพาะ HBO Max ที่เปิดตัวมาไม่นาน แต่ก็สามารถกินส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 3% เป็น 12% แซงสัดส่วนตลาด 11% ของDisney+ ที่เปิดตัวมาก่อนเป็นปี
ที่มา : Ampere abcnews.go.com
ผู้เขียน : วิชัย สุวรรบรรณ
เรียบเรียง : ธนัญญา มุ่งสันติ