ลวงโลก หรือ ไม่ลวงโลก!! Tether กับสถานะ Stablecoin อันลึกลับ (ตอนที่ 3 (จบ)

สายสัมพันธ์ The Bitfinex

จุดเริ่มต้นของคริปโทฯ ทั้งหลายมีแรงดึดดูดใจอันน่าสงสัย และพวกมันก็มีผู้สนับสนุนที่มีศรัทธาอันแรงกล้า ซึ่งพวกเขาเริ่มเข้าสู่ Tether ในเดือนเมษายนปี 2014 และเดือนนั้นนักวิจารณ์นิรนามท่านหนึ่งบนทวิตเตอร์ซึ่งอ้างว่าตัวเองคืออดีตคนของ บิทฟิเนกซ์ (Bitfinex) ได้อ้างที่จริงแล้ว Tether ไม่ได้ถูกสนับสนุนโดยอะไรทั้งสิ้น เขาได้ถามถึงสถานที่ซึ่งบริษัทกำลังเก็บรักษาเงิน และทำไมถึงไม่มีการปล่อยงบการเงินที่ตรวจสอบแล้วออกมา ซึ่งก็มีการกล่าวอ้างแนวเดียวกันนี้ออกมาอีกพอสมควร สุดท้ายแล้วในวอชิงตัน องค์กรกํากับดูแลอย่างการซื้อขายอนุพันธ์ของสหรัฐอเมริกา (the Commodity Futures Trading Commission) และ FBI ก็ได้เปิดการสอบสวน

ขณะที่ในปี 2017 ถือเป็นที่ คริปโทฯ เป็นกระแสและได้รับความนิยมสูงมาก รวมไปถึง Stablecoin ก็เติบโตเป็นอย่างมาก โดยพวกมันมีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ถูกใช้ไปเมื่อสิ้นสุดในปี 2017 ตามเอกสารที่ชวนเชื่อนักลงทุน บิทฟิเนกซ์ (Bitfinex) ทำกำไรไป 326 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าหุ้นของ Devasini มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นั้นทำให้ทั้ง Tether และ บิทฟิเนกซ์ (Bitfinex) กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ของ Noble Bank International LL ขณะนั้นนาย John Betts รู้สึกว่า Devasini กำลังผลักธนาคารของเขาเข้าไปอยู่ในความเสี่ยง หลังปล่อยให้ข่าวลือเกี่ยวกับเงินสำรองของ Tether แพร่กระจายออกไป ตัวนาย John Betts บอกกับทาง Bloomberg ว่าตัวเขาได้กระตุ้นให้นาย Devasini จ้างบริษัททำงบการเงินตัวเต็มที่ตรวจสอบแล้วออกมา แต่ทาง Devasini ตอบว่า Tether ไม่จำเป็นต้องตอบสนองต่อนักวิจารณ์

ตัวนาย Devasini เองอาจจะมีเหตุผลที่ไม่ต้องการเปิดเผย และบนเว็บไซต์ของ Tether ก็ได้แสดงคำมั่นว่า “ทุก ๆ Tether นั้นมีการสนับสนุนแบบ 1 ต่อ 1 อยู่เสมอโดยเงินดอลลาร์สหรัฐที่ถืออยู่ในเงินสำรองของพวกเขา” และเห็นได้ชัดเจนว่าตัว Devasini ต้องการใช้เงินสดตรงนี้นำไปลงทุน ถ้าหากสมมุติว่า Tether มีอยู่ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสามารถทำผลตอบแทนได้ที่ 1% ต่อปี นั้นเท่ากับ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ตรงนี้ตัวนาย John Betts ผู้ก่อตั้งธนาคาร Noble เห็นชัดเจนว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนของนาย Devasini ถ้าการลงทุนได้กำไรผลประโยชน์ที่บอกไปจะวิ่งไปที่นาย Devasini และพันธมิตร แต่ถ้าหากมันขาดทุนผู้เสียหายจะเป็นลูกค้าของ Tether “ตัว Devasini ต้องการผลตอบแทนสูง ๆ ผลพยายามบอกเขาให้ทำงบการเงินตัวเต็มที่ตรวจสอบแล้วอกมา”

ในเดือนมิถุนายนปี 2018 มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อทางตัวนาย Devasini อยากถอนเงินออกจาก Noble แต่ทางนาย Phil Potter ไม่เห็นด้วย ทำให้สุดท้ายตัดสินใจซื้อธนาคาร Noble ไปด้วยมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปในเดือนนั้น พร้อมกันนั้น นาย John Betts ผู้ก่อตั้งธนาคาร Noble ก็ได้ก้าวลงจากตำแหน่งด้วยเหตุผล เรื่องสุขภาพและครอบครัว เหตุการณ์ในศาลนั้นทางพันธมิตรมีการกล่าวโทษ Devasini ในเรื่องของการนำเงินกองทุนของบริษัทไปใช้จ่ายกับ โรงแรมหรู การท่องเที่ยวโดยเครื่องบินส่วนตัว (แต่ทางตัว Devasini แก้ตัวเขาเดินทางไปทำงาน) ในทุก ๆ เหตุการณ์ Devasini มักจะหาวิธีและถอนเงินฝากของเขาออกมาและต่อจากนั้นธนาคารก็ล้มละลายในไม่ช้าหลังจากนั้น

Devasini เผชิญกับอีกหนึ่งวิกฤตช่วงหน้าร้อนปีนั้น เมื่อทาง บิทฟิเนกซ์ (Bitfinex) Exchange ของเขามอบความรับผิดชอบเป็นเงินจำนวนมากกว่า 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปสู่ Panamanian money-transfer service ซึ่งเป็นของบริษัท Crypto Capital Corp. นี่ก็เป็นอีกหนึ่งการแก้ไขปัญหาประเด็นของธนาคารแบบขัดตาทัพของพวกเขา ตามเอกสารที่มีการฟ้องร้องในชั้นศาลซึ่งทางอัยการสูงสุดนิวยอร์คเปิดเผย สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันคือทาง CCC ปฏิเสธจะส่งเงินกลับไปที่ บิทฟิเนกซ์ (Bitfinex) และนั้นทำให้มันไม่สามารถจ่ายเงินลูกค้าซึ่งต้องการถอนเงินของพวกเขาได้ นี่คือสถานการณ์ที่อันตราย ถ้าสาธารณชนพบความจริงนี้ มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของ Bank Run ทันที

นาย Devasini ได้ส่งข้อความแก้ตัวที่หลากหลายไปให้กับลูกค้า พร้อมทั้งอ้อนวอนให้ทาง Crypto Capital Corp. ส่งเงินบางส่วนมาให้ ในแชทของเขาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคดีความเผยว่า “พวกเรากำลงเจอการถอนเงินครั้งใหญ่และพวกเราไม่สามารถที่จะเผชิญหน้ากับมันได้อีกแล้ว เว้นแต่พวกเราสามารถส่งมอบเงินบางส่วนได้” และอีกครั้งหนึ่งที่ตัวเขาส่งหาทาง CCC คือ “ได้โปรดเข้าใจทั้งหมดนี้เป็นอันตรายโครต ๆ ต่อทุกคนและชุมชนคริปโทฯ ทั้งหมด”

มันคือการปิดไฟใส่ลูกค้า ผู้ฟ้องร้องในประเทศโปแลนด์ได้เข้าควบคุมบัญชีของทาง CCC พวกเขากล่าวโจมตีทาง CCC ว่าฟอกเงินสำหรับลูกค้า (ซึ่งรวมถึงกลุ่มยาเสพติดในโคลัมเบีย) ด้านผู้ฟ้องในสหรัฐได้โจมตี Oz Yosef ซึ่งเป็น 1 ในตัวการสำคัญ พร้อมข้อหาการฉ้อโกงของธนาคาร โดยทางนาย Devasini ไม่ตอบสนอต่อข้อกล่าวหาเหล่านี้ในศาล (Hoegner ซึ่งเป็นักกฎหมายของ Tether และ Bitfinex บอกว่า บริษัททั้งหลายโดนเล่ห์เหลี่ยมของทาง CCC และเชื่อว่ามันจะมีกฎเกณฑ์ควบคุมดูแลตามมาภายหลัง)

แทนที่จะประกาศว่า Bitfinex ล้มละลาย นาย Devasini เลือกที่จะอุดรูรั่วของปัญหาด้วยการกู้เงินจาก Tether และปล่อยให้ Stablecoin บางส่วนไม่มีอะไรหนุนหลัง ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 ทาง Tether ได้มีการแก้ไขคำมั่นสัญญาใหม่จาก 1 Tether ถูกสนับสนุนด้วย 1 ดอลลาร์สหรัฐ มาเป็นทุก ๆ Tether ถูกสนับสนุนด้วยเงินสำรองของเรา 100% (ที่มีในตอนนั้นรึเปล่า?) รวมไปถึงเงิดสดและสิ่งที่เทียบเท่าเงินสด

จาก 1 ต่อ 1 สู่การรวมทรัพย์สินอื่น ๆ เข้ามา และลูกหนี้เงินกู้ที่ทำโดย Tether ไปสู่บุคคลที่สาม ซึ่งอาจจะรวมบริษัทในเครือด้วย การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการส่งสัญญาณว่า Tether กำลังปล่อยกู้จากเงินสำรองของพวกเขา แต่ในเวลานั้นคนสังเกตเห็นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเรื่องเงินกู้นี้กลายเป็นที่รับรู้ในระดับสาธารณชนในเดือนเมษายน 2019 เมื่อทางอัยการสูงสุดได้ฟ้องร้อง Tether เพื่อหาทางบังคับให้มันส่งมอบข้อมูลเอกสารทั้งหลายออกมา

เป็นที่น่าประหลาดใจมากว่าแม้นาย Devasini จะทำให้เกิดความเสียหายกับเงินของลูกค้าไปเป็นจำนวนมาก แต่โลกคริปโทฯ ดูเหมือนจะไม่สูญเสียความเชื่อมั่นที่มีต่อเขา ในเดือนพฤษภาคม 2019 การร่วมมือกันของเทรดเดอร์รายใหญ่ได้จ่ายเงินช่วยเหลือ Bitfinex ซึ่งมีการลงทุนเพิ่ม 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในธุรกิจ แถมยังจ่ายหนี้เงินกู้คืนให้กับทาง Tether Holdings. อีกด้วย แม้ในปีถัดมาการซื้อขายคริปโทฯจะหยุดไปจากการระบาด แต่บริษัทกับเติบโตแบบก้าวกระโดด พร้อมการขายเหรียญ Tether มูลค่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนกระทั่งถึงตอนนี้ (ที่บทความถูกปล่อยออกมา) ขายไปแล้วกว่า 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในเดือนกุมภาพันธ์ Tether ตกลงจ่าย 18.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อชำระค่าคดีความที่นิวยอร์ค โดยปราศจากการยอมรับผิดหรือสารภาพความผิดใด ๆ คำถามที่น่าสนใจตอนนี้คือ Tether คือ อภิมหาการฉ้อโกงครั้งใหญ่รึเปล่า? (ในวอชิงตันการสืบสวนยังคงดำเนินต่อไป) นอกจากนี้ในปี 2020 พวกเขายังถูกฟ้องร้องจากกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ ซึ่งได้ส่งจดหมายไปที่นาย Devasini และเหล่าผู้บริหารคนอื่นที่ถูกแจ้งว่าพวกเขาเป็นเป้าหมายการสืบสวนคดีฉ้อโกงธนาคาร เนื่องจากพวกเขาได้โกหกธนาคารหลายแห่งในปีที่ผ่านมา (2020) เพื่อเปิดบัญชีธนาคารหลายบัญชี

ร่องรอยจากกระดาษ

จนถึงวันนี้ Tether ยังคงไม่เปิดเผยที่ซ่อนเงิน แต่มีตัวละครตัวหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งทางทีมงาน Bloomberg มีโอกาสได้พูดคุยด้วยนั้นก็คือ ธนาคาร Deltec Bank & Trust ในประเทศบาฮามาส ซึ่งเป็นแค่สถาบันการเงินเพียงแห่งเดียวที่เต็มใจจะพูดคุยด้วยในเรื่องนี้ ประธานของธนาคารคือ นายฌ็อง ชาโลแป็ง (ชาวฝรั่งเศส) ซึ่งตอนแรกพบเขาได้ถึง หนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นว่าหนังสือซึ่งเกี่ยวกับ การฉ้อโกงทางการเงิน ที่ชื่อว่า Misplaced Trust พร้อมพูดว่า “ผู้คนชอบทำสิ่งสนุก ๆ เพื่อเงิน” นายฌ็อง ชาโลแป็ง ร่ำรวยมาจากการขายสตูดิโอแอนิเมชั่นที่ชื่อว่า DIC Entertainment พอได้เงินมาแล้วก็เอาไปซื้อปราสาทชานเมืองปารีส พร้อมกับเอาเงินไปฝากไว้ที่ ธนาคาร Deltec Bank & Trust และตีสนิทกับเจ้าของธนาคารรุ่นใหญ่จนตอนนี้กลายเป็นประธานของธนาคารเอง (อ่านแล้วนึกว่าอ่านนิยายน้ำเน่าสมกับที่ นายฌ็อง ชาโลแป็ง เป็นอดีตนักเขียนบทจริง ๆ)

ธนาคารแห่งนี้เป็นธนาคารเพื่อการลงทุนซึ่งทำการลงทุนทั่วทั้งทวีปลาตินอเมริกา และธนาคารแห่งนี้มีทรัพย์สินลดลงไปหลายพันหลายดอลลาร์สหรัฐ และแน่นอนนายฌ็อง ชาโลแป็งก็ลงทุนจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในตอนนี้ (ตัวเองเจริญขึ้น ส่วนเจ้าของเก่าก็ไม่ทราบได้ทำไมเจริญน้อยลง) แม้หลายคนจะมองการฝากเงินในธนาคารบาฮามาสมันคือการฟอกเงินดี ๆ นี่เอง แต่นายฌ็อง ยืนยันว่าลูกค้าทุกคนรู้ว่าจุดแข็งของเราคือ การบริการลูกค้า ไม่ใช่ความหลับแต่อย่างใด แน่นอนธนาคารมีการลงทุนในหลากหลายกลุ่มธุรกิจตั้งแต่ เทคโนโลยีชีวภาพ ไปจนถึง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแน่นอนจุดที่ไม่พลาดเลยก็คือการลงทุนใน คริปโทเคอร์เรนซี นายฌ็อง บอกว่า “คริปโทฯ เหมือนกันหมด อย่างยุ่งกับมัน มันโครตอันตราย!! ถ้าคุณขุดลึกลงไปอีกสักหน่อยก็จะพบว่ามันไม่ใช่อย่างที่เป็น”

ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้เขาเคยถูกแนะนำให้รู้จักกับ นาย Devasini ในปี 2017 และพวกเขาก็สนิทกันเพราะดันบังเอิญ!! พบว่า นาย Devasini เติบโตขึ้นมาในย่านเดี๋ยวกับคุณแม่ของ นายฌ็อง แบบนี้ก็ต้องดื่มเหล้าสาบานความสไตล์ แล้วตบท้ายด้วยเรียกพี่เรียกน้อง นายฌ็อง บอกว่า Tether ถูกใส่ร้ายอย่างไม่ยุติธรรม “ไม่มีวาระแอบแฝงหรือบท และพวกเขาก็ไม่ใช่ Enron หรือ Madoff ด้วย” เมื่อมีปัญหาพวกเขาจะแก้ไขอย่างซื่อสัตย์ ในเวลาปัญหาคือ “ทุกคนรู้สึกว่าเงินไม่มีอยู่ พวกเรารู้ว่าเงินอยู่” มันกำลังนั่งอยู่ที่นี่

แต่เมื่อถามนายฌ็องว่าถ้าเป็นแบบนั้นจริง คุณมั่นใจใช่ไหมว่าทรัพย์สินทั้งหมดของ Tether ปลอดภัย 100% ในตอนนี้ นายฌ็องบอกว่าเป็นคำถามที่ยาก เขาพูดต่อว่า ผมถือแค่เงินสดและตราสารหนี้ที่ความเสี่ยงโครตต่ำสำหรับ Tether เมื่อไม่นานมานี้พวกเขาเริ่มใช้ธนาคารอื่น ๆ เพื่อดูแลเงินของพวกเขา มีแค่ 1 ใน 4 ที่ยังคงอยู่กับ Deltec (ประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) “ผมไม่สามารถพูดอะไรที่ผมไม่รู้ ผมพูดได้เท่าที่อยู่ในการควบคุมของพวกเราเท่านั้น”

นอกจากนี้ทีมงานของ Bloomberg ยังได้รับเอกสารที่แสดงถึงบัญชีเงินสำรองของ Tether ที่มีการลงทุนในเงินกู้ระยะสั้นหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐในบริษัทสัญชาติจีนขนาดใหญ่จำนวนหนึ่ง ซึ่งบางตัวกองทุน Money-Market Funds หลีกเลี่ยง นั้นก็คือ China Evergrande Group นอกจากนี้ Tether ยังได้ทำการปล่อยกู้เงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐไปสู่บริษัทคริปโทฯ อื่น โดยบริษัทเหล่านั้นเอาบิตคอยน์ไปวางเป็นหลักประกัน หนึ่งนั้นก็คือ Celsius Network Ltd. (สถาบันการเงินกึ่งธนาคาร (Non-Bank with Quasi-Banking Functions)) สำหรับนักลงทุนคริปโทฯ

ผู้ก่อตั้งบริษัท Celsius Network Ltd. นายอเล็กซ์ บอกว่าเขาจ่ายดอกเบี้ยคิดอยู่ที่ 5% ถึง 6% ให้กับเงินกู้ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยทางทนายของ Tether นาย Hoegner จะบอกว่า พวกเขาไม่ได้ถือตราสารหนี้ของทาง China Evergrande Group แต่อย่างใด แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าได้ถือตราสารหนี้ของบริษัทสัญชาติจีนอื่น ๆ อีกหรือไม่ แถมย้ำด้วยว่าตราสารหนี้ส่วนของที่ถืออยู่เป็นคุณภาพดีจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (คงจะลืมไปว่าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือสิ่งที่เขาบอกเป็นแค่ความเห็นเท่านั้น ณ วันนั้นด้วย) แถมยังบอกอีกด้วยการปล่อยกู้ของบริษัทก็ความเสี่ยงต่ำ เพราะสิ่งที่ลงทุนคือ บิตคอยน์ ซึ่งมันมีแต่จะขึ้น เพราะฉะนั้นมูลค่ามันมากกว่าเงินกู้ (ใจคอพี่ชาตินี้คงไม่มีขาลงเลยสินะ!!)

การลงทุนของชาวจีนทั้งใน Tether และการปล่อยกู้ที่สนับสนุนโดยคริปโทฯ เป็นประเด็นที่สำคัญมาก เพราะถ้านาย Devasini กล้าเสี่ยงมากพอบนกำไร 1 เปอร์เซ็นต์ของเงินสำรองทั้งหมดที่มีอยู่ เขาและพันธมิตรจะได้กำไรทั้งปีประมาณ 690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ถ้าการปล่อยกู้ล้มเหลว แม้เพียงเล็กน้อย

นั้นจะทำให้ 1 Tether จะมีค่าน้อยกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐทันที

เขียน แปล และเรียบเรียง : เอกพล มงคลพัฒนกุล

ที่มา : Bloomberg

ติดตาม Business+ ได้ที่ thebusinessplus.com
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHCuS

#Businessplus #theBusinessplus #นิตยสารBusinessplus #Tether #Stablecoin #คริปโทเคอร์เรนซี่ #cryptocurrency #เงิน #Money #แชร์ลูกโซ่ลวงโลก