ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในโลกที่เทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลในชีวิต ล้วนต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกปัจจุบันให้มากที่สุด
บริษัทประกันเองก็ต้องปรับตัวเช่นกัน เห็นได้จากบริษัทประกันหลายเจ้าในไทยหันมาเข้าวงการ Start up เพื่อตามให้ทันพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เช่น กรุงเทพประกันภัย ร่วมกับ frank.co.th บริษัท startup เพื่อบริการขายประกันรถยนต์
ภาพประกอบจาก promotions.co.th
แล้วเหตุผลใดล่ะ ที่ทำให้บริษัทประกันภัยทั้งหลายถึงเลือกเข้ามาสู่วงการ Start up เป็นเพราะความนิยมหรือความอยู่รอด
ดังนั้นเราลองมาดู ข้อดีของการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทประกันภัย และ Startup ดีกว่า ว่ามีอะไรบ้าง
1.ความว่องไวในการคิดค้นนวัตกรรมทางบริการใหม่ๆ นั่นจะทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริษัทประกันได้ง่ายขึ้น เช่น ใช้ Startup พัฒนา user experience ให้โต้ตอบผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อให้ลูกค้าประกันสามารถเข้าถึงผู้ขายได้ง่ายไม่ต้องเสียเวลา
2.เก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงต่างๆ บริษัทประกันจะต้องคำนวนความเสี่ยงเสมอ เพราะหากค่าประกันมากกว่าค่าความเสียหาย ก็เท่ากับว่าต้องขาดทุน เพราะฉะนั้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อบริหารความเสี่ยงของลูกค้า ทำให้บริษัทรู้ว่าจะต้องรับความเสี่ยงของแต่ละคนอย่างไร และปรับเบี้ยประกันให้เหมาะสมต่อไปอย่างไร เช่น การเก็บข้อมูลในชีวิตประจำวันของผู้ทำประกัน
3.ป้องกันชีวิตและความเสียหาย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในความเสี่ยง ประกันจึงมีการนำอุกรณืมาใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้กับผู้ทำประกัน เช่น การใช้ activity tracker ในการกำหนดเป้าหมายในการออกกำลังกาย ให้ผู้ทำประกันมีสุขภาพที่ดี ไม่เสี่ยงกับโรคร้าย
เมื่อนวัตกรรมใหม่ๆ เริ่มมีมามากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทประกันก็ต้องปรับตัวไป เช่น รถยนต์ที่ไม่มีคนขับ เป็นนวัตกรรมที่จะต้องมีผลกระทบต่อตลาดประกันด้านรถยนต์ ดังนั้นบริษัทประกันภัยก็ต้องพยายามปรับตัวเองให้เฉพาะด้านมากยิ่งขึ้น เพื่อความอยู่รอดของบริษัท
มาดูตัวอย่างบริษัทประกันภัยที่เข้าสู่ Start up ที่มีทั้งจับมือและลงทุนให้กับบริษัท Start up เหล่านั้น
ภาพประกอบจาก trov.com
TROV สามารถซื้อประกันสำหรับสิ่งของผ่าน app และสามารถปรับแต่งกรมธรรม์ได้เอง
ภาพประกอบจาก: embroker.com
EMBROKER: มีระบบออนไลน์ที่ให้บริการขายประกันให้ธุรกิจขนาดเล็ก
สภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจที่ยากขึ้น ย่อมมีความท้าทาย แต่หากว่า user experience ที่ดี เขาก็จะใช้บริการของคุณไปอีก