จีนจะเป็นอิสระจาก ASML ได้อย่างไร SMIC กับความหวังของ เซมิคอนดักเตอร์ จีน

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนทำให้เกิดการแบนชิปเซ็ต โดยมีเป้าหมายอยู่ที่บริษัทหัวเว่ยของจีน ซึ่งนั่นทำให้อุตสาหกรรมอย่างเซมิคอนดักเตอร์ได้รับผลกระทบทันที เมื่อไม่นานมานี้ทาง Semiconductor Manufacturing International (SMIC) คือผู้ผลิต chip หรือ Semiconductor รายใหญ่ที่สุดของจีนที่ถูกก่อตั้งมากว่า 20 ปี ได้มีการลงนามเซ็นสัญญากับทางบริษัท อาเอสเอ็มเอล โฮลดิง (ASML) เป็นบริษัทสัญชาติดัตช์ผู้ผลิตระบบลิโทกราฟีแบบใช้แสง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันเป็นเทคโนโลยีหลักในการสร้างวงจรไมโครอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน ด้วยมูลค่าสัญญากว่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขอซื้อเครื่องลิโทกราฟี (Lithography)

ภายใต้แรงกดดันจากทางโลกตะวันตกที่นำโดยสหรัฐ SMIC มีความต้องการเป็นอิสระจากภายนอกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งหากทำสำเร็จพวกเขาก็จะก้าวเข้าสู่ถนนแห่งความรุ่งโรจน์

แต่คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไม ASML ถึงได้ทำสัญญานี้กับทาง SMIC อะไรที่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อ SMIC?

อย่างที่เรารู้กันการขาดแคลนชิปเซ็ตยังคงรุนแรง และถ้าต้องการจจะผลิตมันก็ต้องมีเครื่องลิโทกราฟี (Lithography) เพราะมันคือองค์ประกอบสำคัญในการผลิตชิปเซ็ต เนื่องจากในชิปขนาดเล็กจะมี Transistor Circuit นับ 100 ล้านตัว และเวลาออกแบบเจ้า Transistor Circuit ก็จำเป็นต้องเรียกร้องความช่วยเหลือจากเครื่องลิโทกราฟี นั่นทำให้มันเปรียบได้ดั่งเพชรยอดมงกุฎของอุตสาหกรรมนี้เลยทีเดียว

การผลิตเครื่องลิโทกราฟีที่ทาง ASML ทำอยู่นั้นมีความยากทางเทคนิคแบบชนิดคนละเรื่องกับเครื่องและอุปกรณ์แบบดั้งเดิม ตรงนี้จึงเป็นเหตุผลให้มีบริษัทน้อยมากในโลกที่สามารถทำเครื่องลิโทกราฟีแบบนี้ได้ และนั่นทำให้ ASML นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำของอุตสาหกรรมนี้

ASML ปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่มากในอุตสาหกรรมนี้ และการผลิตเครื่องลิโทกราฟี แบบ EUV Lithography ทาง ASML เป็นบริษัทเดียวที่ผลิตได้ในโลกนี้ และตรงนี้ทำให้บริษัทจากจีนยังต้องเรียนรู้และตามหลังในด้านนี้อยู่อีกพอสมควร โดยในการเซ็นสัญญาซื้อขายครั้งล่าสุดระหว่างทั้งสองบริษัท (3 มีนาคม 2564 – สิ้นสุดที่ 31 ธันวาคม 2564) ทำให้ SMIC จะสามารถซื้อทุกอย่างได้หมดจากทาง ASML ยกเว้น เครื่องลิโทกราฟี แบบ EUV Lithography นั่นทำให้เครื่องลิโทกราฟีแบบ DUV Lithography กลายเป็นตัวเลือกแรกของทาง SMIC ในตอนนี้

วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการยอมขายสินค้าให้กับทาง SMIC คืออะไร?

ตอนนี้ EUV Lithography กำลังขาดแคลนอย่างหนัก ขณะที่บริษัทผู้ผลิตชิปเซ็ตรายใหญ่ของโลกอย่าง TSMC และ Samsung ผูกความสามารถในการผลิตของตัวเองไว้ที่เครื่อง EUV Lithography ของ ASML ทั้งหมด (ตรงนี้กลายเป็นความเสี่ยงในตัวมันเองขึ้นมาทันที) แต่กับเครื่อง DUV Lithography ซึ่งทาง TSMC และ Samsung ไม่สนใจแม้แต่น้อย ตรงนี้ทาง ASML สามารถขายให้ทาง SMIC ได้สบาย ๆ เราจะเห็นว่าตรงนี้ ASML จะได้ทั้งเงิน และตลาดจีนไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งหากพวกเขาไม่เล่นตลาดนี้ก็เท่ากับยกตลาดนี้ให้กับทาง Canon และ Nikon ของญี่ปุ่นไป และในมุมหนึ่งก็เป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับทั้งสองบริษัทไปด้วย

โดยสถาบันวิทยาศาสตร์ และมหาวิทยาลัยชิงหฺวาได้เปิดตัวงานวิจัยและการพัฒนาของเครื่อง Lithography และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เป็นคอขวดทั้งหลาย พบว่า โอกาสที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องของเครื่อง Lithography ได้เร็ว ๆ นี้แทบเป็นไปไม่ได้ เว้นแต่ ASML จะเจอคู่แข่ง ไม่เช่นนั้นแล้วการขายเครื่อง Lithography ไปสู่จีนมีค่าเท่ากับ ‘การต้มกับในน้ำอุ่น’ ซึ่งอนุญาตให้เราผ่อนคลายจากการวิจัยและพัฒนาในเรื่องของเครื่อง Lithography ขณะที่ ASML ได้ทั้งเงิน และตลาดในประเทศจีน จนกระทั่งสิ้นปี 2021 แล้วทาง ASML ก็ยังส่งมอบเครื่อง DUV Lithography ให้กับทางจีนไม่ครบ ทำให้ในอนาคตอันใกล้ทั้งสองบริษัทยังคงต้องต่อสัญญากันต่อไป (ให้ตั้งข้อสังเกตว่า ASML จงใจรึเปล่า เพราะพวกเขาจะได้กินเงิน และตลาดจีนต่อไปเรื่อย ๆ และแถมไปลดอัตราการพัฒนาในด้านนี้ของจีนไปในตัว อารมณ์ให้ความหวัง แต่จะไม่มีวันเกิดขึ้น)

คำถามถัดมาคือแล้วสัญญานี้ดีหรือแย่สำหรับทาง SMIC?

ในข้อเท็จจริง สัญญานี้มีทั้งมุมที่ดี และมุมที่ไม่ดีขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะมองเข้ามาอย่างไร ในมุมที่ดี เราต้องเข้าใจว่าโลกในวันนี้กำลังขาดแคลนชิปเซ็ตอย่างหนัก และก็มีความต้องการใช้ชิปประเภท The Low-End Ships สูงมาก ซึ่งตรงนี้เจ้าเครื่อง DUV Lithography ช่วยแก้ปัญหาให้ได้ ทำให้ SMIC จะได้ประโยชน์ในแง่ของรายได้ และตลาดผู้บริโภคที่มีการขยายตัวค่อนข้างแน่นอนอยู่แล้ว โดยตามแผนที่วางเอาไว้ทาง SMIC ตั้งเป้าจะขยายกำลังการผลิตชิปขนาด 12 นิ้วให้จำนวน 10,000 ชิ้น และ 8 นิ้วจำนวนมากกว่า 45,000 ชิ้นภายในปี 2021 (ไปตามดูจากรายงานอีกทีว่าพวกเขาสามารถทำได้ไหม)

ด้านไม่ดี เป็นไปได้ว่าทาง SMIC จะเพิ่มความไว้วางใจในเครื่อง Lithography ของ ASML มากขึ้น และจะตกลงไปสู่กับดัก แต่ตราบใดที่ SMIC ยังคงถูกเล่นงานภายใต้การเมืองระหว่างประเทศอยู่ก็คาดว่าสัญญาระหว่างสองบริษัทจะยังมีต่อไป โดยหลายฝ่ายมองว่าภายใต้การเล่นงานของสหรัฐ ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่ทาง SMIC จะเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อผลักดันให้ตัวเองเดินไปข้างหน้า แม้อุปสรรคจะมากมาย (แต่จีนก็ผ่านมันมาได้เกือบทุกครั้ง)

ในเมื่อเครื่อง Lithography คือความมั่นคงของ SMIC แล้วที่ไหนคือทางออกที่พวกเขาควรไป?

ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับทาง ASML มันจะส่งผลกระทบไปทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รวมไปถึงโรงหลอมชิปเซ็ตด้วย ตรงนี้ทำให้ SMIC จำเป็นต้องเป็นอิสระจากการพึ่งพาคนอื่นให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยการพัฒนาเครื่อง Lithography ขึ้นมาเอง หรือสร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ไม่ต้องผลิตชิปจากเครื่อง Lithography อีกแล้ว

ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้จีนจำเป็นต้องเร่งวิจัย และพัฒนาเพื่อเป็นอิสระ รวมไปถึงต้องควบคุมเทคโนโลยีสำคัญ ๆ ที่เป็นแกนในการขับดันการเติบโตของโลกไว้ในมือให้ได้ เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องกลับมาเจอกับสถานการณ์แบบปัจจุบันนี้อีกในอนาคต

หมายเหตุ : จีนมีแผนที่จะบรรลุความสามารถในการผลิตชิปให้ได้อย่าง 70% เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ในประเทศตัวเองให้ได้ภายในปี 2025 ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่แค่ความท้าทาย แต่มันคือโอกาสำหรับบริษัทจีนทั้งหลายด้วย

เขียน และเรียบเรียง : เอกพล มงคลพัฒนกุล

ที่มา : EYES OF REAL CHINA

ติดตาม Business+ ได้ที่ thebusinessplus.com
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHCuS

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #SMIC #ASML #Semiconductor #เซมิคอนดักเตอร์