จบครึ่งปี 3 ปั้มน้ำมันรายใหญ่ มีกำไรเท่าไหร่กันบ้าง? “ปตท.-บางจาก-เอสโซ่” กำไรมโหฬาร!! แนวโน้มไตรมาส 3 ยังไปต่อได้อีก

บริษัทผู้ค้าน้ำมันของไทย เริ่มประกาศผลการดำเนินงานหลังจากจบไตรมาส 2 ปี 2564 ออกมาเรียบร้อยแล้ว โดยบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เจ้าของปั๊มน้ำมัน ปตท. ยังคงครองแชมป์กำไรสุทธิครึ่งปีแรกสูงที่สุดที่ 7,228 ล้านบาท เติบโตได้กว่า 199% (เกือบ 2 เท่าตัวของช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว)
ด้านราคาเป้าหมายโดยเฉลี่ยของ OR นั้น อยู่ที่ 28.70 บาท จากราคาปิด 11 สฺ.ค.ที่ 28.25 บาท (เหลืออัพไซต์อีกเล็กน้อย) เท่ากับว่าราคาหุ้นปัจจุบันใกล้เต็มมูลค่า เมื่อเทียบกับราคาที่ควรจะเป็น (จากการคำนวณของนักวิเคราะห์)
ส่วน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP กำไรสุทธิครึ่งปีแรกที่ 4,048 ล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วขาดทุนสุทธิ 6,571 ล้านบาท โดยบางจากนั้นมี EBITDA (กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อม) ที่ 9,006 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ด้านราคาเป้าหมายโดยเฉลี่ยของ BCP นั้น อยู่ที่ 29.38 บาท จากราคาปิด 11 สฺ.ค.ที่ 23.40 บาท (เหลืออัพไซต์ค่อนข้างสูง) เท่ากับว่าราคาหุ้น BCP ตอนนี้ค่อนข้างต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น หรือพูดง่ายๆ ราคายังมีโอกาสไปต่อสูง
และ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO เจ้าของปั๊มพี่เสือ ก็มีตัวเลขกำไรดีๆ ออกมาอวดเหมือนกัน ด้วยกำไรสุทธิครึ่งปีแรกที่ 3,646 ล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วขาดทุนสุทธิ 8,811 ล้านบาท
ด้านราคาเป้าหมายโดยเฉลี่ยของ ESSO นั้น อยู่ที่ 6.90 บาท จากราคาปิด 11 สฺ.ค.ที่ 7.15 บาท (กลายเป็นดาวน์ไซต์) เท่ากับว่า ราคาหุ้น ณ ตอนนี้ สูงเกินพื้นฐาน เมื่อเทียบกับราคาที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้

โดย รายได้ของทั้ง 3 บริษัท ปรับตัวขึ้น เพราะครึ่งปีแรกนั้นประชาชนมีความต้องการใช้น้ำมันสูง หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย (ไทยยังไม่เจอการระบาดที่รุนแรงมากเท่าตอนนี้) รวมไปถึงการกระจายวัคซีน ทำให้หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยดีมานด์ที่พุ่งสูงนั้น มาจากสหรัฐฯ และยุโรป เป็นหลัก
ดังนั้น ราคาน้ำมันดิบ และราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกถึงได้ปรับตัวขึ้น และการที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นนั้น ก็ส่งผลดีต่อกำไรสุทธิ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 63.62 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขึ้นมาถึง 22.89 เหรียญสหรัฐ (+56%)
เพราะฉะนั้น กลุ่มบริษัทผู้ค้าน้ำมันที่ได้สต๊อกน้ำมันดิบเอาไว้ (ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด) จึงมีกำไรจากการสต๊อกน้ำมัน หรือที่เรียกว่า Stock gain ซึ่งตัวเลขนี้จะไปบันทึกอยู่ในงบกำไรขาดทุน ทำให้กำไรสุทธิ (กำไรบันทัดสุดท้าย) วิ่งขึ้นมาพรวดพราด
#แนวโน้มราคาน้ำมันดิบ
เมื่อมองไปถึงไตรมาส 3/2564 ในประเทศไทยสถานการณ์โควิด-19 ค่อนข้างรุนแรง และมีมาตรการที่เข้มงวด (ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด จากพื้นที่สีแดง) ดังนั้น ยอดการใช้น้ำมันในประเทศคาดว่าจะลดต่ำลง
และในต่างประเทศก็เผชิญกับปัญหาเหมือนกัน หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลต้า ทำให้หลายประเทศต้องใช้มาตรการล็อคดาวน์ ส่งผลกระทบต่อปริมาณการใช้น้ำมัน โดยเฉพาะสหรัฐฯ จีน และทางเอเชีย ดังนั้น ช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบเริ่มซึมตัวลง มาอยู่ราวๆ 68-70 เหรียญต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบขณะนี้ถือว่าค่อนข้างอยู่ในระดับที่สูง หากเทียบกับต้นปี แถมภาพระยะยาว ยังมีเรื่องของแรงหนุนจากแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสหรัฐฯที่เริ่มปรับลดลง ไปจนถึงปริมาณน้ำมันสำรองที่ประเทศสิงคโปร์ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
ด้าน สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับปัจจุบันในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ และคาดว่าราคาจะปรับตัวลงในปีหน้า
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้น จึงมองว่าราคาน้ำมันดิบจะยังอยู่ในระดับสูงไปจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไป
เพราะบริษัทเหล่านี้สามารถปรับราคาขายหน้าปั้มให้สอดคล้องกับต้นทุนน้ำมัน แถมยังทำการสต๊อกน้ำมันเอาไว้ในช่วงราคาน้ำมันต่ำ ดังนั้น เมื่อราคาตลาดโลกเพิ่มขึ้นก็เท่ากับว่ามีกำไรจากการสต๊อกน้ำมันทันที
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ที่มา : SET
https://th.investing.com/commodities/crude-oil
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHC
#Businessplus #อุตสาหกรรมน้ำมัน #หุ้นน้ำมัน #PTT #OR #BCP #ESSO #น้ำมันดิบ #พลังงาน #หุ้นพลังงาน #พลังงานฟอสซิล