ปิดฉากแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์

หลังจากอยู่ด้วยกันมายาวนานเกือบ 70 ปี ก็ถึงเวลาต้องปิดฉากสำหรับแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ งานแสดงรถอันดับหนึ่งของยุโรปและ Top 5 ของโลก เมื่อทานกระแส Disruptive ไม่ไหว โดยปีนี้จะจัดเป็นปีสุดท้าย ก่อนจะเปลี่ยนสถานที่จัดงานใหม่ในปีหน้า โดยยังไม่ล็อคเป้าว่าจะจัดที่เมืองไหน


ตัวเลข 550,000 คน ในฐานะผู้ที่มีส่วนร่วมและผู้เข้าชมในงาน แฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ ปี 2019 ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับปี 2017 ที่ 810,000 คน และ ปี 2015 ที่ 931,000 คน ชวนให้ผู้จัดงานนี้อย่าง VDA (The Verband der Automobilindustrie) เจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก

จนล่าสุดต้องออกมาประกาศว่าปีนี้ (2020) คือการจัดมอเตอร์โชว์ที่แฟรงค์เฟิร์ต เป็นปีสุดท้ายแล้วหลังจากอยู่ด้วยกันมายาวนานเกือบ 70 ปี โดยในปีหน้า (2021) จะย้ายไปจัดที่อื่นแทน ซึ่งต้องนี้ยังไม่มีการประกาศว่าจะไปไหน

แต่เมืองที่อยู่ในความสนใจของทางวีดีเอที่จะใช้ในการจัดครั้งต่อไป ก็มีหลุดมาให้เห็นกันบ้างแล้ว อย่าง เบอร์ลิน, มิวนิค, ฮัมบูร์ก, โคโลญจน์, สตุ๊ตการ์ท, และฮันโนเวอร์ ซึ่งอยู่ในข่ายที่เป็นไปได้

โลเคชั่นที่น่าสนใจ

ซึ่งเหตุผลที่เมืองเหล่านี้ถูกหมายปองว่าจะใช้จัดงานครั้งต่อไปก็เพราะว่า แต่ละเมืองเสนอไอเดียที่สร้างสรรค์มาก รวมทั้งยังเป็นจุดหมายปลายทางที่หนาแน่นของผู้คน เบอร์ลินนั้นไม่ต้องพูดถึง เนื่องจากเมืองหลวงถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในระยะสั้นในการดึงผู้เข้าร่วม เพราะประชากรเมืองนี้มีอยู่ถึง 3.4 ล้านคน แถมเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

ส่วนฮัมบูร์กที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองลงมา มีประชากรอยู่ที่ 1.8 ล้านคนโดยประมาณ
แถมในอนาคตถูกวางเป็นจุดที่จะใช้เชื่อมต่อในโครงการเส้นทางสายไหม (Belt Road Initiative) กับจีนและเอเซีย ที่จะมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลไหลเข้ามาในโครงการนี้ถึง 1.2 – 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ต้องบอกว่าระยะยาว เมืองฮัมบูร์กน่าสนใจมาก ๆ

โลกเปลียน เส้นทางมอเตอร์โชว์ก็ต้องเปลี่ยนตาม

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเกินความคาดหมายแต่อย่างไรท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านของทั้งโลก การจัดงานมอเตอร์โชว์แบบเก่า ที่ต้องใช้เม็ดเงินแบบมหาศาลเพียงเพื่อโชว์รถยนต์เท่านั้น คงไม่ตอบโจทย์ในระยะยาวอีกต่อไป (มอเตอร์โชว์ต่างประเทศเพียงใช้โชว์รถยนต์ ไม่ได้มีการซื้อขายหรือจองรถยนต์แบบประเทศไทย)

ซึ่งมันก็สะท้อนผ่านการที่มีค่ายรถยนต์เข้าร่วมน้อยลงอย่างมาก เหลือเพียง 11 ค่ายเท่านั้นในปีนี้ โดยที่ค่ายรถยนต์จากอิตาลีและฝรั่งเศสไม่เข้าร่วมเลย ทำให้ส่งผลไปถึงผู้ชมที่เข้าร่วมงาน รวมถึงนักข่าวที่จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยประชาสัมพันธ์หายไปด้วย

อีกทั้งค่ายรถยนต์ก็มีทางเลือกมากมายที่จะโชว์รถยนต์ของตัวเองโดยไม่ต้องไปรองานในลักษณะนี้ ซึ่งกว่าจะจัดกันแต่ละครั้งก็ต้องรอนาน ใช้เงินเยอะ แถมไม่ได้ขาย การเปิดโชว์รูมเล็กเฉพาะค่ายพร้อมทดลองขับและขายได้เลย อาจจะตอบโจทย์กว่าในช่วงเวลาระยะสั้นนี้ แต่ก็คงสั้นจริง ๆ

เพราะการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ยังอีกยาวไกล และก็อยากจะคาดเดาเหลือเกิน