มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC-CI) เดือนมิ.ย. 67 ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจ และหอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 24-28 มิ.ย. 67 โดยดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 54.2 ลดลงจากระดับ 55.1 ในเดือนพ.ค. 67 ซึ่งพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในแต่ละภูมิภาค ปรับตัวลดลงทั้งหมด
– กรุงเทพฯ และปริมณฑล ดัชนีฯ อยู่ที่ 53.7 ลดลงจากเดือนพ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 54.7
– ภาคกลาง ดัชนีฯ อยู่ที่ 53.8 ลดลงจากเดือนพ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 54.9
– ภาคตะวันออก ดัชนีฯ อยู่ที่ 56.9 ลดลงจากเดือนพ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 57.7
– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดัชนีฯ อยู่ที่ 52.8 ลดลงจากเดือนพ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 53.6
– ภาคเหนือ ดัชนีฯ อยู่ที่ 54.5 ลดลงจากเดือนพ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 55.2
– ภาคใต้ ดัชนีฯ อยู่ที่ 53.4 ลดลงจากเดือนพ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 54.5
ปัจจัยลบมีทั้งหมด 8 ข้อหลักๆ ดังนี้
- คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ต่อปี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ
- ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าพลังงานที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง รวมทั้งต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น
- ราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 95 ในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.60 บาทต่อลิตร อยู่ที่ระดับ 38.38 และ 38.75 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศ ยังคงทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา
- SET Index เดือน มิ.ย. 67 ปรับตัวลดลง 44.70 จุด จาก 1,345.66 ณ สิ้นเดือน พ.ค. 67 เป็น 1,300.96 ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 67
- ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับ 36.636 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน พ.ค. 67 เป็น 36.704 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 67 สะท้อนว่ามีการไหลออกสุทธิของเงินตราต่างประเทศ
- ความกังวลต่ออัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่รัฐบาลจะให้มีการปรับเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันทั้งประเทศ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น
- ความกังวลจากสถานการณ์ภัยธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายต่อธุรกิจในพื้นที่
- ความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศไทย ที่ยังมีความไม่แน่นอน ตลอดจนนโยบายด้านเศรษฐกิจของภาครัฐยังไม่มีความชัดเจน
ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาคธุรกิจมีความห่วงใยเพิ่มขึ้นต่อทิศทางการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน ซึ่งแม้คณะกรรมการไตรภาคีจะยังไม่สรุปชัดเจนว่าจะให้ปรับขึ้นได้ 400 บาท/วันทั่วประเทศหรือไม่ก็ตาม ซึ่งต้องติดตามว่าหากมีการปรับขึ้นจริง รัฐบาลจะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบนี้ให้กับภาคธุรกิจอย่างไร เช่น การเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น หรือการช่วยให้ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น เป็นต้น