ภายหลังจากที่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ DTAC หรือผู้ให้บริการสัญญานโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ‘ทรู และดีแทค’ ดำเนินการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ร่วมกันเสร็จสมบูรณ์ อย่างเป็นทางการในชื่อ “บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2566 ก็มีการวิจารณ์จากผู้ใช้บริการทั้ง 2 ค่ายมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของสัญญานที่คุณภาพต่ำลง แพคเกจประหยัดที่หายไป
ซึ่งการที่มีผู้บริโภคออกมาร้องเรียนเกี่ยวกับอัตราค่าบริการและคุณภาพสัญญาณโทรศัพท์มือถือนั้น ทำให้ สำนักงาน กสทช. ต้องออกตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ว่า ภายหลังควบรวมทั้ง 2 แบรนด์ได้ทำตามเงื่อนไขของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า กขค.หรือไม่ เพราะทั้ง 2 แบรนด์นั้นอยู่ในโครงสร้างตลาดกึ่งผูกขาด ห้ามใช้อำนาจเหนือตลาดเอาเปรียบผู้บริโภคทั้งด้านราคา และคุณภาพ
โดย สำนักงาน กสทช. ได้ออกมาชี้แจงว่า ทาง TRUE และ DTAC ได้ลดราคาจริง ซึ่งจากการตรวจสอบด้วยการสุ่มตรวจ พบว่า การลดราคาเป็นการลดค่าเฉลี่ย โดยนำแพคเก็จที่ประชาชนใช้มากมาเฉลี่ยลดราคาลง ผลการตรวจสอบพบว่าบริษัทได้ลดราคาค่าบริการลง 12% ตามข้อกำหนด ส่วนที่มีคนท้วงว่าแพคเก็จราคาประหยัดหายไป เมื่อตรวจสอบแล้วแพคเก็จยังคงมีอยู่แต่ลูกค้าอาจจะไม่เห็น และทางค่ายอาจจะไม่ได้นำเสนอหากลูกค้าไม่ถาม ซึ่งนั่นขึ้นอยู่กับวิธีทางการตลาดของผู้ให้บริการ
นอกจากนี้ได้ด้านของคุณภาพสัญญาณ ซึ่งมีเงื่อนไขกำหนดว่าหลังควบรวมจะต้องไม่ลดจำนวนระบบสื่อสัญญาณ (Cell Site) และต้องรักษาคุณภาพและมาตรฐานของบริการไม่ให้ลดลง ซึ่ง กสทช.ได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่า หลังการรวมกิจการสิ่งที่ TRUE ทำคือการตรวจสอบว่าในพื้นที่ให้บริการที่มีเซลไซด์ทั้ง TRUE และ DTAC เสาสัญญาณอันไหนที่ให้บริการได้ดีกว่าก็จะเก็บไว้ อันไหนน้อยกว่าจะยกเลิกเสานั้นไป แต่จำนวนระบบสื่อสัญญาณยังคงอยู่ และโยกย้ายไปยังจุดอื่น ซึ่งก่อนเคลื่อนย้าย กสทช.ได้ย้ำให้รักษาคุณภาพการให้บริการ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีการร้องเรียนเกี่ยวคุณภาพสัญญาณแค่ 17 เรื่อง ซึ่งยอมรับว่าการเคลื่อนย้าย Cell Site ในบางจุด อาจทำให้มีปัญหาเน็ตช้าได้
ซึ่งการตรวจสอบที่ต้องละเอียดมากขึ้นนั้น สืบเนื่องมาจากการที่ สภาผู้บริโภค และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้จัดการประชุมในหัวข้อ จ่ายแพง สัญญาณตก คุณภาพต่ำ ‘มโน’ หรือ ‘เรื่องจริง’ หลังควบรวม? ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ ได้มีตัวแทนผู้บริโภคในภูมิภาคได้สะท้อนปัญหาที่พบเจอหลังควบรวมกิจการโทรคมนาคม ใน 4 ประเด็น คือ ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และสัญญาณโทรศัพท์ที่ไม่เสถียร , ปัญหาการแจ้งเปลี่ยนแพ็กเกจโดยไม่แจ้งให้ทราบ ซ้ำยังเป็นแพ็กเกจที่มีราคาแพงขึ้นหรือได้รับบริการแพ็กเกจเสริมโดยที่ไม่ได้รับความยินยอม ,ศูนย์บริการที่อยู่ห่างไกล ทำให้ผู้บริโภคในบางพื้นที่ไม่สะดวกในการเข้าไปใช้บริการ และการลดหย่อนค่าบริการสำหรับคนพิการไม่ตอบโจทย์ รวมถึงรูปแบบการใช้สิทธิข้างต้นที่ทำให้คนพิการ เนื่องจากต้องไปยืนยันตัวตนที่ศูนย์บริการเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในส่วนของปัญหาด้านคุณภาพสัญญาณนั้น ‘Business+’ พบข้อมูลของการร้องเรียนก่อนและหลังการควบรวม พบว่า ก่อนควบรวมช่วงเดือน (ม.ค.-4 ส.ค.) ระยะเวลา 7 เดือนมีการร้องเรียนของทั้ง TRUE และ DTAC รวมกัน 944 เรื่อง เป็นของ TRUE จำนวน 637 เรื่อง ของ DTAC จำนวน 307 เรื่อง แต่ภายหลังควบรวม 4 ส.ค.- 30 พ.ย. ด้วยระยะเวลาเพียง 4 เดือน มีการร้องเรียนมากถึง 836 เรื่อง
ซึ่งปัญหาที่เกิดการร้องเรียนมากที่สุดเรียงตามลำดับดังนี้
– ปัญหาเกี่ยวกับการได้รับข้อความสั้น (SME)
– มาตรฐานการให้บริการ
– การคิดค่าบริการผิดพลาด
– คุณภาพสัญญาณ
– สิทธิความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนตัว
– การยกเลิกบริการ
โดยจะเห็นว่าปัญหาด้านคุณภาพสัญญาณยังไม่ใช่ปัญหาอันดับแรกๆ ที่ถูกร้องเรียน แต่การร้องเรียนกลับเป็นปัญหาเดิมที่ผู้ใช้บริการมักเจออยู่ตลอดนั่นคือ การได้รับข้อความ SMS ที่สร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้มากกว่า
ที่มา : กสทช. ,TRUE ,DTAC
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ติดตาม Business+ ได้ที่ Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/
#thebusinessplus #BusinessPlus #ควบรวมทรูดีแทค #TRUE #DTAC #TRUEDTAC