The Success Story of The Month By‘Business+’ ฉบับพิเศษเดือนกันยายน 2566 จะพาผู้อ่านไปพบกับแผนยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และเศรษฐกิจไทย ซึ่งจุดที่ต้องจับตามองเป็นอย่างมากในปีนี้คือ ททท. ปักเป้าหมายแรก คือ การ Recover รายได้การท่องเที่ยวของประเทศไทยให้กลับไปถึงจุดพีคที่ระดับ 3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2567 ด้วย 4 Action Policies เพิ่ม Value อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และยังมีเป้าหมายระยะยาวคือการเป็น High Value and Sustainable Tourism ซึ่งจะสำเร็จตามเป้าหมายทั้งหมดนี้ได้ ททท. จะต้องใช้ทั้งนโยบายส่งเสริมระบบนิเวศใหม่ที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมสร้าง Competitive Advantage ให้กับผู้ประกอบการทั้ง Ecosystem
คุณฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยกับ ‘Business+’ ว่า ในปี 2566 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวทั้งปี 2566 จะสามารถขึ้นไปแตะระดับ 25-28 ล้านคน โดยภูมิภาคหลักที่เข้ามาประเทศไทยมากที่สุด คือ อาเซียน เอเชียตะวันออก ยุโรป และตะวันออกกลาง ซึ่งหากเจาะเข้าไปเป็นรายประเทศจะเห็นว่า 3 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยมากที่สุด คือ มาเลเซีย จีน และเกาหลีใต้
โดยปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัว คือ การประกาศยุติ COVID-19 จากภาวะฉุกเฉิน โดยองค์กรอนามัยโลก (WHO) เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 66 ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกผ่อนคลายและเดินทางออกนอกประเทศได้มากขึ้น ส่งผลให้จำนวนที่นั่งเที่ยวบินขาเข้าประเทศไทยกลับมาฟื้นตัว 64%
ขณะที่ ททท. ได้ทำการกระตุ้นตลาดท่องเที่ยว ร่วมกับพันธมิตรรัสเซีย เพื่อเปิดเส้นทางบินมายังประเทศไทยในช่วงฤดูร้อนปี 2566 และยังได้มีการเจรจาเพื่อปรับปรุงสิทธิการบินระหว่างรัฐบาลไทยและซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจะทำให้สามารถขยายความถี่เที่ยวบินได้มากขึ้น นอกจากนี้อีกหนึ่งปัจจัยที่ผลักดันการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวคือ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งจะทำให้กระแสซีรีส์ไทยทำให้เกิดกระแสท่องเที่ยวตามรอยโดยเฉพาะตลาดจีน ญี่ปุ่น และละตินอเมริกา
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปี 2566 ยังมีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากทุกประเทศทั่วโลกได้กลับมาเปิดการท่องเที่ยวเต็มที่ ดังนั้นรัฐบาลของแต่ละประเทศจึงมีนโยบายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศของตนเอง และเกิดเป็นการแข่งขันทางการตลาดที่ค่อนข้างสูง
ซึ่งประเด็นนี้ คุณฐาปนีย์ กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการ Re-Skill, Up-Skill ให้กับบุคลากรธุรกิจท่องเที่ยว รวมไปถึงการทำในเรื่อง Rebalance ด้านความยั่งยืน หรือแม้กระทั่งการรีแบรนด์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ททท. ยังเตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่องด้วยการ Reboot ตลาดในประเทศก่อน แล้วเน้นไปที่การ Rebound ตลาดต่างประเทศในช่วงที่มีนโยบายผ่อนคลายสถานการณ์ COVID-19
โดยได้ทำการเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ส่งผลให้เกิดอานิสงส์ที่ชัดเจนตั้งแต่ปลายปี 2565 และต่อเนื่องมายังปี 2566 ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเสมือนต้นแบบสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ในแง่ของการบริหารจัดการและความพร้อมด้านการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ททท. ยังมุ่งเน้นไปที่การขยายตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศที่มีโอกาสเติบโตสูง เช่น นักท่องเที่ยวมาเลเซียที่มีจุดแข็ง คือ ความสะดวกจากการเดินทางผ่านพรหมแดน รวมถึงนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ที่มี Potential สูงจากการท่องเที่ยวเน้นกิจกรรมอย่างกีฬากอล์ฟจึงมีโอกาสเลือกประเทศไทยเป็น Destination นอกจากนี้ยังเดินหน้าขยายกลุ่มตลาดไปยังตลาดอาเซียน (AEC) ด้วยกลยุทธ์การทำงานแบบบูรณาการสอดประสานแบบเป็น Utilities Asian แบบเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มประเทศ
“เราเห็นความสดใสของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ จึงตั้งเป้าหมายไว้ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวทั้งปี 2566 จะฟื้นสู่ระดับ 25-28 ล้านคน ซึ่งต้องอาศัยนโยบายในการกระตุ้นการตลาดจากรัฐบาล อย่างการผ่อนปรนวีซ่า และนโยบายสนับสนุนอื่น ๆ ขณะที่เราจะโฟกัสไปที่นักท่องเที่ยวในประเทศที่มีโอกาสเติบโตสูง เช่น นักท่องเที่ยวมาเลเซีย เกาหลีใต้ ตะวันออกกลาง และ AEC” คุณฐาปนีย์ กล่าว
ขณะที่แผนสำหรับปี 2567 ทาง ททท. จะรุกเปิดตลาดใหม่ คือ ยุโรปตะวันออกและซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะนำไปสู่รายได้เข้าประเทศเพื่อพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากผ่านพ้นวิกฤตโรคระบาด COVID-19 ได้เป็นอย่างดี
“ตลาด Middle East เป็นอีกหนึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เราจะมุ่งเน้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดสัมพันธไมตรีกับซาอุดีอาระเบียที่มีกำลังซื้อสูง หลังจากที่เราปิดความสัมพันธ์มากว่า 30 ปี โดยเราได้เตรียมความพร้อมสร้างสัมพันธ์ตั้งแต่ สายการบินแบบ Direct Flight รวมไปถึงการพูดคุยเชื่อมสัมพันธ์กับหลายภาคส่วน โดย ททท.จะเข้าไปจัดตั้งสำนักงานใหม่สาขาแห่งที่ 30 ในกรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย ดังนั้นเราจึงตั้งเป้าสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากซาอุดีอาระเบียในปี 2566 ที่ 1.3-1.5 แสนคน และในปี 2567 หลังจากมีความพร้อมของสายการบินคาดการณ์ว่าจะได้เห็นจำนวนนักท่องเที่ยวแตะระดับ 2.5 แสนคน” คุณฐาปนีย์ กล่าว
เป้าหมายสุดท้าทายกับการ Recovery รายได้กลับสู่จุดพีค และก้าวสู่ High Value and Sustainable Tourism
คุณฐาปนีย์ กล่าวกับเราว่า ในปี 2567 ททท. ตั้งเป้าหมายรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะกลับเข้ามาเทียบเท่าปี 2562 ที่มีรายได้ระดับ 3 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นปีที่รายได้จากการท่องเที่ยวสูงที่สุด และเป็นภาวะปกติก่อนสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งจะไปสู่เป้าหมายได้ต้องให้ความสำคัญกับการผลักดันและส่งเสริมระบบนิเวศใหม่ที่มีคุณค่า สมดุล และยั่งยืน รวมทั้งเสริมภูมิคุ้มกันสร้างความมั่นคงทางการท่องเที่ยว เพื่อก้าวสู่ High Value and Sustainable Tourism โดยมีแนวทางการดำเนินงาน 6 ข้อที่สำคัญ คือ
- การสร้างความมั่นคงทางการท่องเที่ยวและการสร้างสมดุลอย่างยั่งยืนที่ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตร ทุกฝ่ายในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสู่ความยั่งยืน การดำเนินงานของ ททท. อย่างรับผิดชอบ หรือ CSR in Process ที่สอดคล้องกับแนวคิด BCG Model ที่เป็นไปตามเป้าหมายการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน Sustainable Tourism Goals (STGs) ทั้งในด้านการบริหารจัดการ การคำนึงถึงสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน Sustainable Development Goals (SDGs) ของ UNDP
- ความพยายามสร้างความสมดุลทั้ง 4 มิติ (Value over Volume) ซึ่งประกอบไปด้วย
– มิติความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ (Economic Wealth)
– มิติสังคมอยู่ดีมีสุข (Social Wellbeing)
– มิติการรักษาสิ่งแวดล้อม (Environmental Wellness)
– มิติการเสริมสร้างภูมิปัญญามนุษย์ (Human Wisdom)
- เสริมสร้างความมั่นคงทางการท่องเที่ยว (Tourism Security) โดยต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทาน (Strengthening Supply Chain) และการพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการท่องเที่ยวและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว (Building Travel Support & Tourist Service Infrastructure) ขณะที่ต้องใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Enhancing Digital Transformation) รวมไปถึงต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงภายนอก (Managing External Risks)
- ทิศทางการดำเนินงานของ ททท. ในปี 2567 ให้ความสำคัญกับ “การสร้างประสบการณ์ทรงคุณค่า” เพื่อส่งมอบให้กับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่ง คุณฐาปนีย์ กล่าวว่า มี 4 นโยบายหลักที่ ททท. ใช้ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว (The Magic 4 Action Policies Transforming Tourism) หรือเรียกง่าย ๆ ว่า PASS ประกอบไปด้วย Partnership 360° คือ การประสานความร่วมมือกับทุกพันธมิตรทั้งในและนอกอุตสาหกรรม , Accelerate Access to Digital World คือ การพัฒนาองค์กรด้านการตลาดการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัลเต็มรูปแบบ, Subculture Movement คือ การขับเคลื่อนกลุ่มวัฒนธรรมย่อยที่ทรงพลัง , Sustainably Now คือการผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย “มุ่งสู่ความยั่งยืน”
- แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ การสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวจาก 10 ตลาดหลัก ได้แก่ จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย สิงคโปร์ เวียดนาม รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา โดยมุ่งเน้น 5 ทิศทางหลัก ดังนี้
ทิศทางที่ 1 ส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ท่องเที่ยวไทยด้านความยั่งยืนในมิติของสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ปรากฏชัดในตลาดต่างประเทศ ด้วยการส่งเสริมการเดินทางที่ไม่สร้างภาระให้ชุมชน และกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง รวมถึงต้องเสนอจุดขายที่เป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่นบนฐานทุนทางวัฒนธรรมและความหลากหลาย ทางชีวภาพ นอกจากนี้ยังต้องปรับภาพจำใหม่สำหรับการเป็นประเทศท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมกับยกระดับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
ทิศทางที่ 2 รุกเปิดตลาดใหม่และดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพให้เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี (Thailand All Year Round)
ทิศทางที่ 3 แสวงหาคู่ค้ารายใหม่และขยายความเชื่อมเกี่ยวกับคู่ค้ารายใหญ่ในเวทีโลก รวมถึงการขยายช่องทางการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายศักยภาพในตลาดหลัก ๆ ทั่วโลก
ทิศทางที่ 4 ส่งเสริมการเดินทางเชื่อมโยงทางบก เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงประเทศไทย บริหาร ความเสี่ยงความล่าช้าในการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินโลก
ทิศทางที่ 5 การใช้พลังของสื่อสังคมออนไลน์ Social Media และการใช้ Digital content ที่โดนใจกลุ่มเป้าหมายเสริมพลังทางการตลาด รวมถึงการให้ความสำคัญกับ Data เพื่อให้ได้มาซึ่งกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวอย่างแท้จริง
- แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวตลาดในประเทศ ซึ่งต้องใช้จุดแข็งของแต่ละพื้นที่มานำเสนอให้เกิดความโดดเด่น และสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว อย่างเช่น ภาคเหนือ เน้นส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ผสมผสานระหว่างเสน่ห์วันวานเมืองเหนือและความร่วมสมัย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนำเสนอหลากหลายประสบการณ์เที่ยวไปกินไป และภาคอื่น ๆ ที่มีอัตลักษณ์แตกต่างกันไป
นอกจากนี้ คุณฐาปนีย์ กล่าวว่า การจะกระตุ้นตลาดในประเทศจำเป็นต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน ไม่ใช่เพียงการกระตุ้นตลาดเพียงภาคใดภาคหนึ่ง ททท. จึงกระตุ้นให้เกิดการเที่ยวข้ามภาค ซึ่งเป็นการนำเอายุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่มุ่งเน้นการกระจายรายได้สู่ชุมชนมาเป็นจุดขายหลัก และเกิดเป็นกลยุทธ์ The Link
โดย L คือ Local Experience ซึ่งเน้นจุดขายคือ สร้างประสบการณ์ที่ดีกับแหล่งท่องเที่ยวชุมชน
I คือ Innovation ที่นำเอาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์มาใช้ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
N คือ Networking ซึ่งเป็นการสร้างเครือข่ายกับพันธมิตรทั้งในและนอกอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
K คือ Keep Character คือการรักษาอัตลักษณ์ท้องถิ่นและดึงออกมาเป็นจุดขาย
“จุดขายของการท่องเที่ยวเชื่อมโยงข้ามภาค คือ การดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด และเชื่อมโยงรูทการเดินทางเชื่อมโยงกัน อย่างเช่น นำเอาจังหวัดบุรีรัมย์ที่มีจุดเด่นคือกีฬา มาเชื่อมโยงกับจังหวัดภูเก็ตที่มีจุดเด่นคือ Health & Wellness ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่” คุณฐาปนีย์ กล่าว
อีกหนึ่งกลยุทธ์คือ การปักหมุดว่าจะต้องขายการท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี หรือ ‘Thailand All Year Round : 365 วันมหัศจรรย์ไทยแลนด์’ ซึ่งจะทำให้เกิดการกระจายของรายได้ท่องเที่ยวได้ทุกวัน และไม่กระจุกตัวอยู่ในจังหวัดหลัก หรือจังหวัดรองเพียงอย่างเดียว ซึ่งการขายได้ตลอดทั้งปีนี้ยังเป็นข้อได้เปรียบของประเทศไทย ที่สามารถขายการท่องเที่ยวได้ทุกวันทุกช่วงเวลาไม่มี High หรือ Low season สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
สร้าง Competitive Advantage ยกระดับผู้ประกอบการอย่างยั่งยืน
นอกจากการสร้างจุดขายให้กับการท่องเที่ยวไทยแล้ว คุณฐาปนีย์ กล่าวว่า ต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งทาง ททท. ได้จัดทำแผนปฏิบัติการดิจิทัลระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570) เพื่อวางแผนการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลที่สอดคล้องกับนโยบายชาติในการปฏิรูปประเทศสู่ดิจิทัล ไทยแลนด์ (Digital Thailand) โดยร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย Digital Tourism ร่วมผลักดันให้เกิด Ecosystem ยกระดับห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้มีความรู้เท่าทันและได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัล ให้สามารถปรับตัวในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผู้ประกอบการต้องมีการปรับตัวโดยใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ มาช่วยในการทำธุรกิจและทำการตลาด (Digital Transformation) เป็นการช่วยลดต้นทุนเพิ่มยอดขาย โดยปรับ mindset เปิดรับแนวทางใหม่ ๆ ปรับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ การใช้ข้อมูลที่จำเป็นมาช่วยวางแผน และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ตามแนวทาง : เพิ่มความรู้ ความล้ำ ความเร็ว เพื่อลดความซ้ำซ้อน ความผิดพลาด สิ้นเปลือง
โดย ททท. ร่วมขับเคลื่อน Digital Tourism ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการ เพื่อปรับ Ecosystem ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยใช้หลัก 3Di นั่นคือ
- Digital Literacy ปรับ mindset ให้แก่ผู้ประกอบการ มีการจัดทำและเผยแพร่ DATA ที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการตลาด การอบรมให้ความรู้การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวโดยยกระดับศูนย์พัฒนาวิชาการด้านการตลาดท่องเที่ยว TAT Academy ทั้งในรูปแบบ Onsite อย่างเช่น หลักสูตร TME และ Online ผ่านแพลตฟอร์ม E-learning ที่มีผู้ประกอบการสนใจเข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ชุนชนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
- Digital Innovation ส่งเสริม Travel Tech และ Start Up และนวัตกรรมดิจิทัลใหม่ ๆ เพื่อช่วยแก้ pain point ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ช่วยส่งมอบประสบการณ์อันทรงคุณค่าให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อเป็นการยกระดับเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าท่องเที่ยวและเป็นการขยายฐานตลาดท่องเที่ยวได้อย่างไร้พรมแดนผ่านโลกดิจิทัล
- Digital Investment สนับสนุนการระดมเงินทุนเพื่อสรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการตลาดการท่องเที่ยว ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ททท. พร้อมสนับสนุนข้อมูลโดยมีการพัฒนาระบบข้อมูลให้เป็น (Data Digitizing) ทั้งข้อมูลที่ใช้ภายในหน่วยงาน และข้อมูลที่จะเผยแพร่สู่หน่วยงานภายนอก เพื่อนำไปสู่การเชื่อมโยงและแบ่งปันข้อมูล (Data Sharing) ตลอดจนมีการพัฒนากระบวนการปฏิบัติงานที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นกลไกหลักในการดำเนินการ รวมถึงให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างนวัตกรรมบริการสารสนเทศเป็นอย่างมาก
จากการสัมภาษณ์พิเศษกับคุณฐาปนีย์ ทำให้ ‘Business+’ เห็นภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในปัจจุบันอย่างชัดเจนว่า ภาคการท่องเที่ยวไทยถึงจุดที่มีการฟื้นตัวอย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ ททท. จะทำต่อจากนี้ คือการให้การสนับสนุนในมิติด้านความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะไม่ใช่นโยบายที่เป็นยาแรงเหมือนช่วง COVID-19 แต่ต้องเป็นการช่วยเหลือ หรือให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการระยะยาวและยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยการพัฒนาทั้ง Supply Chain ของการท่องเที่ยวร่วมกับระดับชุมชน เพื่อทำให้เกิดความโดดเด่น ด้านวัฒนธรรมไทย และขายความเป็นเอกลักษณ์สู่ตลาดโลกให้สามารถขายได้ทุกจังหวัด และทุกช่วงเวลา
ซึ่งในการสัมภาษณ์ช่วงสุดท้าย คุณฐาปนีย์กล่าวกับเราว่า ประเทศไทยมีต้นทุนทางวัฒนธรรม และต้นทุนทรัพยากรทางธรรมชาติ รวมไปถึงต้นทุนคนในประเทศที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบมากกว่าหลาย ๆ ประเทศ แต่เราจะต้องใช้จุดแข็งเหล่านี้ให้กลายเป็นจุดขายให้ได้ และต้องขายให้ได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือ การใช้ Soft Power ซึ่งปัจจุบันเราอยู่ระหว่างการผลักดันในทุก ๆ องคาพยพ ด้วยการร่วมมือกับหลาย ๆ หน่วยงาน โดยที่ผ่านมา ททท. มีแผนกระตุ้นการเดินทางผ่านพันธมิตรชั้นนำระดับโลกผ่านแคมเปญ Amazing Thailand ผนวกกับ Soft Power ของไทย เพื่อเสริมสร้างจุดแข็งให้กลายเป็นจุดขาย และผลักดันให้คนไทยเที่ยวเมืองไทยอย่างทั่วถึง กระจายทั้งปี และได้ประสบการณ์ในหลากหลายมิติ ทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็น Movement ที่เปลี่ยนแปลงกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยได้อย่างชัดเจน
สามารถติดตามบทสัมภาษณ์ฉบับวีดีโอได้ที่ :https://www.youtube.com/watch?v=kKZ42Es4P5E