ไทยลีฟ ย้ำแผนเดินหน้าธุรกิจ หลังมติทบทวน “พ.ร.บ. กัญชง กัญชา” พร้อมเปิดจุดยืนผลิตเพื่อการแพทย์ พร้อมเดินเครื่องพัฒนาโปรดักส์ตามแผน

ไทยลีฟเสนอภาครัฐ ชี้ชัดข้อกำหนดและประโยชน์การใช้กัญชงที่ชัดเจน พร้อมดึงพันธมิตรร่วมหาทางออกทำงานแบบบูรณาการ

บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการสกัดสาร CBD และผลิตผลิตภัณฑ์จากกัญชงอย่างครบวงจรของประเทศไทย มั่นใจเดินหน้าธุรกิจกัญชงตามแผนธุรกิจ 5 ปี (2565-2570) แม้มติสภาประกาศทบทวนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง บริษัทยังแสดงจุดยืนการทำธุรกิจด้านกัญชงเพื่อพัฒนาวงการเฮลธ์แคร์ และเดินหน้าธุรกิจตามแผนในไตรมาส 4 ปี 2565 อาทิ การก่อสร้างโรงงานให้เสร็จสมบูรณ์ และการร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเวชภัณฑ์และอาหาร

 

นายยิ่งยศ จารุบุษปายน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด เผยว่า จากกรณีที่สภามีมติให้มีการทบทวนร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง เนื่องจากร่างกฎหมายยังพบช่องโหว่ทั้งด้านการควบคุมดูแลที่ยังไม่ชัดเจน ไม่รัดกุม และมีความกังวลที่ในปัจจุบัน ประชาชนมีการนำกัญชามาใช้ด้านสันทนาการ ซึ่งหลังจากนี้จะมีกระบวนการพิจารณาแก้ไขร่าง พ.ร.บ. เข้าสภาเพื่อนำเสนอใหม่ คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 9 เดือน ถึง 1 ปี โดยไทยลีฟ ซึ่งมีพาร์ทเนอร์ทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย ยังคงเดินหน้าธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งแผนระยะสั้น 1 ปี 3 ปี ตลอดจนแผนธุรกิจระยะยาว 5 ปี (2565-2570) ต่อไปตามเป้าหมาย 100 เปอร์เซ็น

เมื่อพิจารณาสถานการณ์โดยรวมหลังจากมีการประกาศให้ทบทวนร่าง พ.ร.บ. กัญชา กัญชง พบว่า สิ่งที่กระทบเป็นอันดับแรกอาจไม่ใช่ด้านธุรกิจ แต่กลับเป็นด้านจิตวิทยาของประชาชนผู้รับสาร เพราะประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจว่าแนวทางในลำดับถัดไปจะมีหรือไม่ หรือเป็นอย่างไร รวมถึงจะมีผลกระทบต่อหลายภาคส่วนหรือไม่ ขณะเดียวกันในฝั่งผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดกลางที่มีการลงทุนไปแล้ว เช่น การปลูก หรืออื่นๆ เพื่อใช้ทางสันทนาการ ก็ย่อมมีผลกระทบแน่นอน แต่สำหรับบริษัทหรือผู้ประกอบการธุรกิจรายใหญ่ที่มีการนำกัญชา กัญชงไปใช้เพื่อทางการแพทย์ ไม่ได้ใช้เพื่อสันทนาการ ในลักษณะเดียวกับไทยลีฟ จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

นายยิ่งยศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ไทยลีฟยังเดินหน้าธุรกิจตามแผน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่คู่ค้า รวมถึงประชาชน ซึ่งจะเป็นผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ของไทยลีฟในอนาคต โดยจะมุ่งมั่นเดินหน้าธุรกิจใน 3 ด้านหลักๆ ดังนี้ (1) การเดินหน้าต่อในด้านความร่วมมือ ไทยลีฟ ได้ลงนามในสัญญาเพื่อร่วมมือกับ 2 ผู้นำธุรกิจชั้นนำในเครือสหพัฒน์ เสริมแกร่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริม เวชสำอาง ได้แก่ บริษัท โอสถ อินเตอร์ แลบบอราทอรีส์ จำกัด หรือ OSI และบริษัท เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ S&J คู่สัญญาทางธุรกิจที่สำคัญของไทยลีฟอีกรายหนึ่ง คือบริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะร่วมกันพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพและมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ในปีหน้า ไทยลีฟยังมีแผนที่จะประสานความร่วมมือกับเครือโรงพยาบาลบางกลุ่ม เพื่อร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาในอนาคต (2) การเดินหน้าต่อด้านการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ ตั้งแต่ปี 2564 ไทยลีฟ ได้ทำการศึกษา ค้นคว้าและวิจัย เมล็ดพันธุ์และสายพันธุ์กัญชงร่วมกับมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ซึ่งอีกไม่นาน จะสามารถนำเข้ามาทดลองปลูกในประเทศไทย หลังจากเริ่มปลูก และตรวจสอบศักยภาพตามมาตรฐานที่ต้องการแล้ว ไทยลีฟจะดำเนินการจดสิทธิบัตร เป็นสายพันธุ์กัญชงสัญชาติไทย ที่มีคุณภาพเทียบเท่าสายพันธุ์นอก และนำเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ไปขายให้แก่เกษตรกรในราคาที่ย่อมเยาว์ คาดว่าจะได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในช่วงปลายปี 2566 และ (3) การเดินหน้าเพื่อสร้างความพร้อมทางธุรกิจ โรงงานสกัดสาร CBD จากกัญชงของไทยลีฟ ตั้งอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 150 ไร่ ในอำเภอองครักษ์ คลอง 16 จ.นครนายก โดยเฟสแรกจะใช้พื้นที่เพียง 50 ไร่ก่อน โรงงานดำเนินการก่อสร้างไปแล้วกว่า 80% โดยได้ก่อสร้างตามมาตรฐาน GMP PIC/S ซึ่งเป็นระบบประกันคุณภาพสูงสุดเทียบเท่ากับโรงงานผลิตยา ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนประสานงานกับองค์การอาหารและยา (อย.) ในการเข้าไปตรวจสอบโรงงาน และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน 2565

นายยิ่งยศ กล่าวเสริมว่า การใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาเสริมประสิทธิภาพการทำงาน และการคัดสรรทุกสิ่งอย่างด้วยมาตรฐานที่ดีที่สุดเป็นสิ่งที่ไทยลีฟให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อาทิ เครื่องสกัดสาร CBD จากกัญชง จะเป็นเครื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งไทยลีฟนำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา สามารถสกัดสารที่มีคุณภาพที่สุด ได้สารสกัดที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด และได้ค่าสาร CBD สูงที่สุด ในการนี้ ไทยลีฟ ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและได้รับคำปรึกษาจากทีมผู้เชี่ยวชาญจากแคนาดาและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ของไทยลีฟ กล่าวคือ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) ที่เชี่ยวชาญด้านการเพาะ สกัดกัญชง และบริษัท คานาร์ฟามา อินเวสต์เมนต์ส จำกัด (Cannapharma Investments Inc.) บริษัทการลงทุนจากแคนาดา ที่มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจกัญชาทางการแพทย์ เทคโนโลยีการเกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพระดับโลก

นอกจากนี้ การร่วมงานกันระหว่างทีมงานชาวต่างชาติและชาวไทยจะเกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ (Know-How Transfer) ทีมงานชาวไทย ประกอบด้วย เภสัชกรและนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งดูแลงานส่วนในห้องแลป เกษตรกรดูแลส่วนแปลงปลูก และเจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่องจักรที่เป็นวิศวกรชาวไทย ส่วนทีมงานชาวต่างชาติ จะมีทั้งผู้ปลูก หรือ Master Grower ซึ่งจะช่วยควบคุมการปลูก และผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำปรึกษาด้านการคิดค้นสูตรและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัด CBD จากกัญชง ที่มีคุณภาพ แน่นอนว่าการพัฒนาธุรกิจให้เดินไปข้างหน้าได้ ต้องร่วมมือร่วมใจกันทุกส่วน ในฐานะผู้บริหารไทยลีฟ ย่อมต้องมีการขยายองค์ความรู้และสนับสนุนทีมงานในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัญชง งานวิจัย และการใช้เทคโนโลยี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะตอบโจทย์เป้าหมายของไทยลีฟ ในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารสกัด CBD จากกัญชง ที่ดีที่สุดและเป็นประโยชน์มากที่สุดให้แก่ผู้บริโภค

“การทบทวนร่างกฎหมายใหม่นั้น อยากให้ภาครัฐร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การแพทย์ การโภชนาการ ในการขยายคุณและโทษ รวมทั้งแยกความแตกต่างระหว่างกัญชากับกัญชงออกจากกันอย่างชัดเจน เนื่องจากกัญชงมีสรรพประโยชน์ สามารถไปปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะวงการสุขภาพและวงการแพทย์เช่นเดียวกับในต่างประเทศที่ได้มีการศึกษาวิจัยและดำเนินการทำไปแล้ว คาดว่าจะเป็นนิมิตหมายอันดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยได้ในเร็วๆ นี้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง จะยังไม่ผ่านกระบวนการอนุมัติอย่างสมบูรณ์ แต่กฏหมายลูกหรือที่เรียกว่าประกาศกระทรวง ยังคงมีผลใช้ได้อยู่”