หุ้นไทยยังต้องเผชิญ ‘Sell in May’ กำไรทั้งตลาดถูกหั่นเหลือ 95 บ./หุ้น

ต้นสัปดาห์เรายังได้เห็นดัชนีตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียปรับตัวลดลงต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเกิดจากความกังวลธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นต่อเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงเร่งตัว

แต่ในมุมมองของ นักวิเคราะห์ ‘เจพีมอร์แกน’ กลับมองว่า ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงมีแนวโน้มที่สดใส เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองว่าการที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลาย10 ปี และการที่จีนยังคงล็อกดาวน์เมืองสำคัญเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้น จะทำให้ตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะนำเงินเข้ามาพักไว้

ซึ่ง ‘อเล็กซานเดอร์ เทรเวส’ หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านการลงทุนตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกของบริษัทเจพีมอร์แกน แอสเซท แมเนจเมนท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นเอเชียได้รับความสนใจจากนักลงทุนเสมอมา และเมื่อพิจารณาจากการที่เศรษฐกิจเอเชียกำลังฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะยิ่งทำให้ตลาดหุ้นของประเทศกลุ่มนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น

นอกจากนี้เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นจะทำให้ผู้คนฝากเงินน้อยลงเพราะผลตอบแทนจากการฝากเงินไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ ทำให้นักลงทุนเข้าลงทุนในตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

อย่างไรก็ตามหากเจาะมาที่ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่าตลาดยังคงมีปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก เพราะสัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์ที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใกล้ประกาศประกอบการไตรมาส 1/2565 ออกมา ซึ่งจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘Sell in May’ หรือการขายหลังจากเปิดเผยผลประกอบการ และปันผล (เนื่องจากก่อนหน้านี้นักลงทุนได้เข้าซื้อเพื่อรอรับปันผล หรือเก็งกำไรผลประกอบการก่อนวันประกาศ เมื่อประกาศออกมาเป็นที่เรียบร้อยก็ได้เวลาขาย)

โดย Bloomberg คาดว่าจะมีหุ้นใน SET100 ราว 76 บริษัทรายงานออกมา ดังนั้นช่วงต้นสัปดาห์ตลาดจะเคลื่อนไหวกรอบจำกัด

แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ Bloomberg ได้ปรับลดกำไรต่อหุ้นของตลาดลงมาอยู่ที่ 95 บาท/หุ้น (ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่ให้ไว้ที่ 97 บาท/หุ้น) เมื่อเปรียบเทียบกับผลประกอบการปี 2564 ที่ 1.05 ล้านล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 90 บาท/หุ้น

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ Bloomberg ได้ปรับลดกำไรของทั้งตลาดคาดกว่าเป็นการประเมินจากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มยืดเยื้อทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคหดตัว กระทบไปถึงกำไรบริษัทจดทะเบียน

นอกจากนี้ราคาพลังงาน (น้ำมัน,ไฟฟ้า,ก๊าซ) ที่สูงขึ้นยังกระทบในแง่ของต้นทุนที่เร่งตัวขึ้น และอาทำให้มาร์จิ้นหดตัวไปตามหากไม่สามารถปรับราคาขายได้สอดรับกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

ด้านความเห็นของ ‘บล.กสิกรไทย’ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยได้มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนพ.ค. จะเผชิญกับเหตุการณ์ Sell in May ประเมินกรอบแนวรับรอบนี้ 1,610-1,630 จุด และแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,585 จุด และมีแนวต้านที่ 1,666 จุด โดยยังไม่แนะนำเพิ่มพอร์ตลงทุน ควรรอดูทิศทางในช่วงครึ่งเดือนหลัง เพราะยังมีความวิตกกังวลต่ออัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐ

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

ที่มา : Bloomberg ,infoquest ,บล.พาย

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #หุ้นไทย #SET #STOCK #ตลาดหุ้นไทย