‘สุราก้าวหน้า-สมรสเท่าเทียม’ 2 นโยบายเจาะฐานเสียงเชิงลึก ส่ง ‘ก้าวไกล’ ขึ้นสู่จุดสูงสุด

ความสำเร็จด้านการตลาดออนไลน์ของ ‘พรรคก้าวไกล’ กลายเป็นสิ่งที่นักการตลาดนำออกมาวิเคราะห์กันอย่างมากมาย ในแง่ของการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คที่ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด โดยที่ไม่จำเป็นต้องทุ่มเม็ดเงินโฆษณาจำนวนมากเหมือนอย่างที่พรรคการเมืองอื่นๆ ทำ

แต่หากเราวิเคราะห์ในมุมธุรกิจจากการออกนโยบายของพรรคก้าวไกลแล้ว ‘Business+’ มองว่า มีอยู่ 2 นโยบายที่เจาะฐานเสียงได้อย่างตรงจุดมากที่สุด (ในทางธุรกิจ คือ การเจาะกลุ่มเป้าหมาย) นั่นคือ สุราก้าวหน้า และสมรสเท่าเทียม ซึ่ง 2 นโยบายที่ให้ประโยชน์แก่กลุ่มคนแบบเฉพาะเจาะจง ไม่เหมือนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมที่อาจจะดึงฐานเสียงโดยการหว่านนโยบายให้กลุ่มคนหมู่มาก

ซึ่งถ้าหากมองภาพรวมการแบ่งฐานเสียงด้วยอายุ จะเห็นว่าสัดส่วนของผู้มีสิทธิในการเลือกตั้งในปี 2566 มีทั้งหมดจำนวน 52,346,554 คน สามารถแบ่ง Generation ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ดังนี้

  • GEN Z (อายุ 18– 26 ปี) 7,639,560 คน คิดเป็น  14.59%
  • GEN Y (อายุ 27– 42 ปี) 15,116,509 คน คิดเป็น 28.88%
  • GEN X (อายุ 43– 58 ปี) 16,086,024 คน คิดเป็น  30.73%
  • Baby Boomer (อายุ 59– 77 ปี) 11,248,515 คน คิดเป็น  21.49%
  • Silent Generation (อายุ 78– 98 ปี) 2,220,007 คน คิดเป็น  4.24%
  • Greatest Generation และ Lost Generation (อายุ 99– 133 ปี) 35,939 คน คิดเป็น 0.069%

ซึ่งจะเห็นได้ว่า ฐานเสียงของ Generation ที่สูงที่สุดคือ Gen X มีสัดส่วนสูงถึง 30.73% (16.09 ล้านคน) ซึ่ง Gen X เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้มาก มีความรู้ ฐานะมั่นคง เพราะเกิดมาในยุคมั่งคั่ง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เพราะเป็นยุคที่เศรษฐกิจกำลังพัฒนาอย่างมาก แต่กลุ่ม Gen X เป็นกลุ่มที่อยู่กับการเมืองมาหลายยุคหลายสมัย และส่วนใหญ่มีทัศนคติที่มองว่า การเมืองไทยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ ขณะที่ความเป็นอยู่ในปัจจุบันค่อนข้างสุขสบายอยู่แล้ว นั่นทำให้ส่วนใหญ่คนใน Gen นี้ จะไม่ได้ให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากนัก ขณะที่นโนบายพรรคก้าวไกล ก็อาจจะไปทำให้การทำธุรกิจของกลุ่มคน Gen นี้ยากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้นการจะทำการแข่งขันเพื่อดึงฐานเสียงคนกลุ่มนี้จากนโยบายภาพรวมที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงให้ตรงจุดจากความสนใจ และเป้าหมายในชีวิตจึงค่อนข้างยาก และกว้างเกินไป

ขณะที่ Gen Y เป็นฐานเสียงอันดับที่ 2 ด้วยจำนวน 15.12 ล้านคน คิดเป็น 28.88% ซึ่งคนกลุ่มนี้มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ทะเยอทะยาน มุ่งมั่นต่อความสำเร็จ และแสวงหาความก้าวหน้าในอาชีพการงาน คนกลุ่มนี้จึงเป็นเป้าหมายใหญ่ของพรรคก้าวไกลมากกว่า Gen X เห็นได้จากการออกนโยบายที่จะเป็นประโยชน์กับกลุ่มคน Gen Y มากมาย เช่น “สวัสดิการสำหรับแม่และเด็ก” ทั้งให้เงินสมทบ รวมไปถึงสร้างสถานที่เลี้ยงเด็กใกล้ที่ทำงานรวมไปถึงนโยบาย “ลดค่าครองชีพ” อย่างเช่นลดค่าไฟฟ้า (เพราะกลุ่มคน Gen Y กำลังอยู่ในช่วงสร้างครอบครัว และสร้างตัว)

แต่ถึงแม้นโยบายเศรษฐกิจภาพกว้างจะช่วยดึงดูดฐานเสียงคนกลุ่ม Gen Y ได้ แต่จริงๆแล้วการเจาะกลุ่มฐานเสียงเลือกตั้งเป็น Gen อาจจะกว้างเกินไป เพราะคนใน Gen เดียวกันก็ไม่ได้มีไลฟ์สไตล์ หรือความชื่นชอบ หรือเป้าหมายในชีวิตที่เหมือนกัน ดังนั้น พรรคก้าวไกล จึงเลือกนโยบายที่จะสามารถเจาะฐานเสียงโดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกทางด้านความชื่นชอบ ไลฟ์สไตล์ และเป้าหมายในชีวิต เข้ามาเป็นหัวใจหลักของการกำหนดนโยบายที่จะเจาะไปยังกลุ่มคนได้ตรงจุดมากกว่าการแบ่งกลุ่มด้วยอายุ จนเป็นที่มาของ 2 นโยบายที่เฉพาะกลุ่ม นั่นคือ สุราก้าวหน้า และสมรสเท่าเทียม ซึ่งทำให้เกิดหัวคะแนนธรรมชาติขึ้นจำนวนมาก

ทั้งนี้เมื่อเจาะข้อมูลเข้าไปในข้อมูลเชิงตัวเลข ‘Business+’ พบข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขว่า คนไทยเป็นประเทศที่ชอบดื่มสุรามากติดอันดับต้น ๆ ของโลก โดยเฉพาะเหล้ากลั่น ที่คนไทยมีการดื่มมากเป็นอันดับ 5 ของโลก ซึ่งคนที่อายุ 15 ปีขึ้นไปในไทยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 16.2 ล้านคน คิดเป็นค่าเฉลี่ยดื่มคนละ 58 ลิตรต่อปี ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก 9 เท่าตัว (ข้อมูลปี 2555)

ขณะที่ข้อมูลล่าสุด เราพบว่า ไทยมีประชากรดื่มเบียร์มากสุดเป็นอันดับที่ 1 ในเอเชีย (ปี 2564) โดยข้อมูล 5 อันดับแรกในทวีปเอเชียที่มีประชากรดื่มเบียร์ เฉลี่ยต่อขวด (330 มล.)/คน/ปี มากสุดในเอเชีย คือ ไทย จำนวน 142 ขวด/คน/ปี , เกาหลีใต้ 130 ขวด/คน/ปี , จีน 127 ขวด/คน/ปี , ฟิลิปปินส์ 114 ขวด/คน/ปี และญี่ปุ่น 88 ขวด/คน/ปี

ดังนั้น กลุ่มคนที่บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะได้รับประโยชน์คือ มีทางเลือกของสินค้าที่หลากหลายขึ้น เพราะสุราก้าวหน้านั้น มีกลไกคือการปลดล็อกการผลิตสุราของผู้ผลิตรายย่อยและสุราชุมชน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรได้อีกด้วย เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยเราประสบปัญหากับพืชเศรษฐกิจ อย่าง ข้าว ยางพารา อ้อย หรือผลไม้ตามฤดูกาล มีความผันผวนของราคา และบางครั้งประสบปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเป็นอย่างมาก ซึ่งเกิดจากมีผลผลิตมามากกว่าความต้องการของตลาด และมีอายุการเก็บที่ไม่นานเมื่อเทียบกับสินค้าบางประเภท

ซึ่งสุราก้าวหน้าจะส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรของไทยให้มีมูลค่าสูงขึ้นและสามารถรองรับสถานการณ์ที่ผันผวนของราคาสินค้าเกษตร ด้วยการปลดล็อกการผลิตสุราของผู้ผลิตรายย่อยและสุราชุมชน ซึ่งจะนำมาสู่ผลประโยชน์ต่อเกษตรกรผ่านการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรที่ถูกนำไปใช้ในกระบวนการผลิตสุรา เช่น ข้าว (ที่ถูกนำไปหมักเป็นเบียร์-สุรา) หรือ พืชผลไม้ต่างๆ (ที่ถูกนำไปหมักเป็นไวน์)

เท่ากับว่า สุราก้าวหน้า จะทำให้ผู้ผลิตรายย่อยหรือชุมชนผลิตสุราได้ เพื่อให้ประโยชน์ตกมาสู่เกษตรกร และยังถือเป็นการปลดล็อกศักยภาพและความสร้างสรรค์ของนักปรุงสุราในพื้นที่ต่าง ๆ ที่จะทำหน้าที่คิดค้นวิธีเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร ทำให้เกษตรกรต้นน้ำมีรายได้สูงขึ้น ดังนั้น หากสุราก้าวหน้า เกิดขึ้นจริงก็จะช่วยลดการผูกขาดตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทยได้

โดยตลาดเครื่องดื่มในปี 2563 แบ่งเป็น เบียร์ (มูลค่า 260,000 ล้านบาท) ซึ่ง ‘บุญรอดบริวเวอรี่’ ครองส่วนแบ่งไปแล้วกว่า 57.9% ตามด้วย บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ สัดส่วน 34.3% ขณะที่มูลค่าตลาดสุรา 180,000 ล้านบาท ทาง บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ ครองส่วนแบ่งที่ 1 สูงถึง 59.5% เช่นกัน

ดังนั้น นอกจากจะได้ฐานเสียงจากกลุ่มคนชอบดื่มที่มีเครื่องดื่มหลากหลายแล้ว ในแง่ของคนอยากทำธุรกิจก็สามารถที่จะมีโอกาสในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกมาขายในบ้านเราได้มากขึ้น เป็นการสนับสนุนนักธุรกิจขนาดเล็กในประเทศ ดังนั้น ฐานเสียงที่มาจาก สุราก้าวหน้า จึงสามารถเจาะได้ 2 กลุ่มเป้าหมายได้ในนโยบายเดียว

ขณะที่อีกหนึ่งนโยบายคือ สมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นการเจาะฐานเสียงกลุ่มเพศทางเลือกโดยเฉพาะ แม้ว่าปัจจุบันการสำรวจประชากรที่เป็นทางการของไทยยังไม่สามารถระบุจำนวน LGBT+ ได้อย่างแน่ชัด แต่มีตัวเลขประมาณการของ LBGT Capital ว่าในปี 2562 กลุ่ม LGBT+ ชาวไทยที่มีอายุมากกว่า 15 ปี มีประมาณ 3.6 ล้านคน คิดเป็น 5% ของประชากรไทยทั้งหมด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นประชากรกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในสังคม แม้พรรคการเมืองอื่นอย่างเช่น พรรคเพื่อไทย จะมีการพูดถึงนโยบายเหล่านี้อยู่บ้าง แต่ทางพรรคก้าวไกล เป็นพรรคที่ทำการโปรโมทมากกว่าในด้านนี้มากกว่า

ซึ่งหากเรานับเพียงแค่ 2 ฐานเสียงนี้ โดยคำนวณแบบกำปั้นทุบดินว่าทั้งหมดมีสิทธิ์เลือกตั้งและเลือกพรรคก้าวไกลทั้งหมด ก็เท่ากับว่า มีฐานเสียงที่เจาะกลุ่มจากความชอบ และลักษณะนิสัยได้จำนวนมาก (มากกว่าการเจาะเพียงกลุ่ม Gen ใด Gen หนึ่ง) และยังไม่รวมนโยบายอื่นๆ ที่ดึงฐานเสียงกลุ่มผู้สูงอายุด้วยเบี้ยผู้สูงอายุ หรือ นโยบายด้านการศึกษา แต่กลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ต้องไปแย่งคะแนนเสียงจากพรรคอื่นๆ (พรรคอื่นก็มีนโยบายที่คล้ายกัน จึงเกิดการแข่งขันสูงกว่า) ดังนั้น เราจึงมองว่า 2 ฐานเสียงนี้เป็นจุดสำคัญที่ส่งพรรคก้าวไกลขึ้นมาถึงฝั่ง ประกอบเข้ากับการตลาดในโซเชียลเน็ตเวิร์คด้วย Content ที่มีคุณภาพ รวดเร็ว และสามารถตอบคำถามของประชาชนได้ทุกครั้งทั้งทางออนไลน์ และออนกราวด์จึงทำให้การหาเสียงของ พรรคก้าวไกล เกิดประสิทธิภาพเป็นอย่างมากในโซเชียลเน็ตเวิร์ค

ที่มา : เว็บไซต์พรรคการเมือง , สำนักงานสถิติ

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.facebook.com/businessplusonline/

Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/