เป็นประเด็นที่คนพูดถึงกันอย่างมากหลังจากมีข่าวประกาศออกมาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ว่า ‘ขันเงิน เนื้อนวล’ หรือ ‘ขัน ไทยเทเนี่ยม’ ศิลปินแนว Hip-Hop ได้เข้าซื้อหุ้นใน บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จํากัด (มหาชน) หรือ MPIC เจ้าของ ธุรกิจสื่อ ภาพยนตร์ ที่เป็นผู้จัดหาลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ไทยและภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่ง เอ็ม พิคเจอร์ส ได้มีการฉายคอนเทนต์ผ่านทั้งโรงภาพยนตร์ ทางสื่อทีวี ในรูปแบบฟรีทีวี เปย์ทีวี และ วีดีโอออนดีมานด์ รวมถึงสื่อทางด้าน Digital ต่าง ๆ จากบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จํากัด (มหาชน) หรือ MAJOR หรือโรงภาพยนต์ ‘เมเจอร์’ ที่เรารู้จักกันดี
โดย MAJOR ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ เอ็ม พิคเจอร์ส ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญทั้งหมดที่บริษัทถืออยู่ใน MPIC กับ ขันเงิน ในวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยที่เป็นการขายหุ้นจํานวน 1,202 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 92.46% ของหุ้นที่จําหน่ายแล้วทั้งหมด ด้วยราคาหุ้นละ 0.54 บาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขาย 650 ล้านบาท
ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลในตลาดหลักทรัพย์ฯ ‘Business+’ พบว่า ราคาที่ทำการซื้อขายถือว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่ากระดานเป็นอย่างมาก เพราะในวันที่ประกาศข่าวออกมาราคาหุ้นในกระดานอยู่ที่ 1.52 บาท เท่ากับว่า ขัน ไทยเทเนี่ยม ได้ซื้อหุ้น เอ็ม พิคเจอร์ส ในราคาที่ต่ำกว่าราคาซื้อขายถึง 0.98 บาทเลยทีเดียว แต่ถ้าหากเราเทียบกับมูลค่าทางบัญชี (มูลค่าของหุ้นสามัญหรือมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของบริษัทตามงบดุลล่าสุดที่คำนวณจากสินทรัพย์รวมหักด้วยหนี้สินรวม) ซึ่งล่าสุดอยู่ที่ 0.35 บาท (ณ วันที่ 22 พ.ค.2566) ก็ยังถือว่า ขัน ไทยเทเนี่ยม ซื้อหุ้นในราคาที่สูงกว่ามูลค่าทางบัญชี
แต่สิ่งที่น่าติดตามต่อเป็นเรื่องของการบริหารบริษัททั้งหมดในเครือ เอ็ม พิคเจอร์ส เพราะภายหลังจาก ขัน ไทยเทเนี่ยม เข้าซื้อหุ้นของ ‘เอ็ม พิคเจอร์ส’ ก็จะทำให้ขัน ไทยเทเนี่ยม ขึ้นแท่นเป็นเจ้าของค่ายหนังมากมายทันที ซึ่ง ‘Business+’ สำรวจข้อมูลล่าสุด พบว่า ที่ผ่านมา เอ็ม พิคเจอร์ส มีการลงทุนในค่ายหนังมากมาย โดยสรุปได้ดังนี้
ซึ่งเป็นที่น่าจับตาว่า ขัน ไทยเทเนี่ยม ถือเป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง จะพา เอ็ม พิคเจอร์ส ไปในทิศทางไหน ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของ เอ็ม พิคเจอร์ส คือ
- ผู้บริโภคภาพยนตร์ทุกประเภท และทุกวัย
- โรงภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด
- ผู้ประกอบธุรกิจ Free TV, Cable TV, Digital, IPTV, VOD
- ผู้ประกอบการสื่อภาพยนต์ในต่างประเทศ
ซึ่ง เอ็ม พิคเจอร์ส จำเป็นต้องเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นผู้ประกอบธุรกิจสื่อภาพยนตร์ครบวงจร ทั้งเข้าลงทุนในธุรกิจด้านจัดหาและจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ต่างประเทศ ธุรกิจผลิตภาพยนตร์ไทย รวมถึงการเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจโรงภาพยนตร์รายใหญ่ในประเทศไทยที่มีโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากสื่อต่าง ๆ จากกลุ่มบริษัท เช่น สื่อโฆษณา โรงภาพยนตร์ เป็นอย่างมาก แต่ในปีที่มาไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่น รับชมภาพยนต์ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งใหม่ ๆ จึงทำให้กลุ่มบริษัทฯ จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์อย่างหนักเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยผลประกอบการในปี 2565 ของ ‘เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์’ ได้พลักกลับมามีกำไรสุทธิในปี 65 จำนวน 24.97 ล้านบาท หลังขาดทุนสุทธิตั้งแต่ปี 2563 หลังเจอ COVID-19
ที่มา : SET , MPIC
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.facebook.com/businessplusonline/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/
#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus #Business #SET #MAJOR #MPIC #โรงภาพยนต์ #โรงหนัง