‘พีไฟว์กรุ๊ป’ กับแผนผลักดันรายได้ปีนี้แตะ 300 ล้าน

‘พีไฟว์กรุ๊ป’ แบรนด์สินค้าสมุนไพรที่สร้างสินค้าให้ขายได้ในตัวเอง เดินหน้าแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ชูกลยุทธ์ ‘Snowball’ จับเทรนด์เจาะกลุ่มลูกค้าหลากหลาย Generation เพื่อสร้าง Brand Loyalty พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้แตะระดับ 300 ล้านบาทในปี 2566

คุณภาวัฒน์ โตกะคุณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พีไฟว์กรุ๊ป กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการที่กลุ่มบริษัทฯ ไม่เคยหยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิม และขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ

จากการสัมภาษณ์ทำให้ Business+ เห็นโครงสร้างของพีไฟว์กรุ๊ปในปัจจุบันประกอบด้วยธุรกิจด้าน Call Center โทรทัศน์ดาวเทียม โรงงานผลิตสินค้า และธุรกิจด้านโลจิสติกส์ ซึ่งทุกกลุ่มธุรกิจมีการดำเนินงานที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนอย่างเป็น Ecosystem จึงทำให้ระบบการทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

โดย ‘พีไฟว์กรุ๊ป’ เป็นบริษัทที่วางรากฐานโครงสร้างธุรกิจมาอย่างแข็งแกร่ง และมีความเหนียวแน่นของลูกค้าเดิมเป็นอย่างมาก ด้วยสินค้าติดตลาดคือ เครื่องดื่มสมุนไพรโพชง แต่ก็ยังพัฒนาธุรกิจต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์ Snowball เพื่อผลักดันการเติบโตร่วมด้วย

ซึ่งคุณภาวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับการเก็บฐานข้อมูลลูกค้า เพื่อนำเสนอสิ่งที่ตอบโจทย์ที่สุดให้แก่ลูกค้า ขณะที่จะเพิ่มยอดขายและกลุ่มลูกค้าในผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ด้วยการให้สินค้าทดลองเป็นการสมนาคุณกับลูกค้ารายเดิม เพื่อให้เกิดความกล้าทดลองสิ่งใหม่ ๆ นอกเหนือจากสินค้าเดิมของบริษัทฯ ที่ใช้อยู่เป็นประจำ ซึ่งกลยุทธ์นี้จะช่วยปรับพฤติกรรมผู้บริโภค และเมื่อผลลัพธ์ของผลิตภัณฑ์ตัวทดลองที่ได้ใช้เป็นไปตามความคาดหวัง ก็จะนำไปการสั่งซื้อสินค้า และเกิดเป็น Brand Loyalty กับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ

นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดต่างประเทศในตลาดที่มีศักยภาพ อย่างเช่น ดูไบ บาห์เรน และอินเดีย ส่วนตลาดในเอเชียยังคงเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะสปป.ลาว ที่คลื่นสัญญาณดาวเทียมของไทยคมสามารถเข้าถึง ทางพีไฟว์กรุ๊ปจึงมองเห็นโอกาสการเติบโต และตั้งศูนย์ Call Center ในสปป.ลาว ซึ่งผลลัพธ์คือยอดการสั่งซื้อผ่าน Call Center ที่เติบโตสม่ำเสมอ

นอกจากนี้หากมองในแง่ของการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ พีไฟว์กรุ๊ปได้เห็นโอกาสในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งต้นทุนทางการเงินต่ำ จึงได้เข้าลงทุนอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น การเข้าลงทุนในโรงงาน 2 แห่ง เพื่อผลิตสินค้า Cosmetic และอาหารเสริม ซึ่งถือเป็นอีกกลุ่มสินค้าใหม่ของพีไฟว์กรุ๊ป ส่งผลให้ปัจจุบันพีไฟว์กรุ๊ป มีสินค้าทั้งหมด 6 ประเภท ได้แก่ เครื่องดื่มสมุนไพร ‘โพชง’, แชมพูพีไวว์ ‘Pvive’, ยาสีฟันสมุนไพร เฟรชมิ้น, น้ำมันรำข้าว, สบู่ล้างหน้าก้อน และคอลลาเจน โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้คาดจะช่วยผลักดันรายได้ในปี 2566 ให้เติบโตแตะระดับ 300 ล้านบาท

โดยสินค้าคอลลาเจนและสบู่ล้างหน้าก้อนทางบริษัทฯ มีแผนจะจัดจำหน่ายภายในครึ่งปีหลังของปี 2566 ซึ่งสองสินค้านี้จะเจาะตลาดลูกค้าระดับบน เพราะบริษัทให้ความสำคัญกับคุณภาพของสารสกัด และผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้ โดยผลิตภัณฑ์คอลลาเจนจะมีความแตกต่างจากสินค้าท้องตลาดที่หลายแบรนด์มักจะใช้สารเติมเต็มเพื่อให้ปริมาณบริโภคมีความคุ้มค่าต่อการจ่าย แต่คอลลาเจนของพีไฟว์กรุ๊ปแตกต่างกับทุกแบรนด์โดยจะใช้สารสกัด 100% ซึ่งจะไม่มีสารเติมเต็ม เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับคุณประโยชน์ของสารสกัดและเห็นผลลัพธ์จริง

นอกจากจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ แล้วยังมีแผนการพัฒนาสินค้าเดิมอยู่เสมอ อย่างเช่น เครื่องดื่มสมุนไพรโพชงที่เป็นสินค้าหลักทางบริษัทฯ ก็มีการปรับปรุงพัฒนาสูตรเป็นโพชงสูตร Plus ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรจีนให้เข้มข้นขึ้นกว่าสูตรดั้งเดิม แต่แพ็กเกจจิ้ง (Packaging) ยังยึดรูปแบบสูตรเดิมมากที่สุด ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกในรอบกว่า 15 ปี ของเครื่องดื่มสุมนไพรโพชง เพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ของแบรนด์ นอกจากนี้ยังพัฒนาแชมพูพีไวว์ให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าเพศหญิงมากขึ้นจากเดิมที่แพ็กเกจจิ้งจะดูเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย โดยแชมพูพีไวว์ ‘Pvive’ สูตรผู้หญิง จะช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น และเจาะตลาดกลุ่มลูกค้า Gen ใหม่ ๆ ซึ่งถือเป็นการต่อยอดความชำนาญการด้านสมุนไพรให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างการแตกไลน์สินค้าที่จะช่วยสร้างยอดขายและรายได้ให้เพิ่มขึ้น

“เรามีแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ทุกการลงทุนจะดำเนินเสร็จสิ้นทุกขั้นตอน และในปี 2568 จะเป็นปีแห่งการรับรู้รายได้ของทุกธุรกิจเต็มปี ซึ่งในระหว่างทางก็จะมีการพัฒนาและหาสินค้าใหม่ ๆ เพื่อให้มีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” คุณภาวัฒน์ กล่าว

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ‘พีไฟว์กรุ๊ป’ ถือเป็นแบรนด์ที่พึ่งพาการกลับมาซื้อซ้ำ (Repeat Purchase) อย่างมาก ด้วยการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์เดิม และบริการหลังการขายที่จริงใจ และวันนี้ได้เติบโตไปอีกขั้นกับการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ในรูปแบบใหม่ ๆ ทั้งการใช้ช่องทางการสื่อสารที่ทันสมัย รวมไปถึงการออกผลิตภัณฑ์เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มอื่น ๆ ซึ่งจะนำบริษัทฯ ไปสู่การเติบโตที่สูงขึ้นแต่ยังคงเอกลักษณ์ของแบรนด์ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมที่มีอย่างเหนียวแน่นเอาไว้ได้

.

เขียนและเรียบเรียง : ศิริวรรณ อรรถสุวรรณ