MAJOR คืนชีพเต็มที่เร็ว ๆ นี้!! พาเหรดหนังใหญ่เข้าโรงไม่เว้นสัปดาห์ เป้าขั้นต่ำ 100 ล้านบาทต่อเรื่อง

เป็นที่น่าจับตามองต่อสำหรับ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR หลังจากที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ให้โรงภาพยนตร์กลับมาเปิดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ชอบการดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ

และยิ่งไปกว่านั้น ถือว่าเป็นข่าวดีที่ต้องจุดพลุฉลองกับบริษัทที่ทำธุรกิจโรงหนังและจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นอย่าง MAJOR แม้จะอนุญาติให้เปิดได้ถึง 3 ทุ่ม และต้องเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร (ลดจำนวนเหลือประมาณ 50% สวมหน้ากากตลอดเวลา และไม่รับประทานอาหาร)

เพราะก่อนหน้านี้ MAJOR ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์มาโดยตลอด ทำให้ผลประกอบการบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากระดับหมื่นล้านในปี 2562 เหลือรายได้ไม่ถึง 4 พันล้านบาท (ลดลง 63.63%) และปี 2563 ประสบกับผลขาดทุน 527.49 ล้านบาท

ในงวดครึ่งปีแรกของปี 2564 ก็ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ทำให้ผลประกอบการปีนี้ไม่ต่างกับปีที่แล้วมากนัก ครึ่งปีแรกมีผลขาดทุน 338.14 ล้านบาท

การขาดทุนดังกล่าวส่งผลให้ MAJOR จำเป็นต้องตัดขายหุ้นของ บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF ให้กับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ผ่านทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งได้ทำการซื้อขายกันเสร็จสิ้นแล้วเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564

โดยที่ MAJOR ได้ทำการขายหุ้นทั้งหมด 647.16 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 30.36% ในราคาซื้อขายหุ้นละ 12.00 บาท คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 7,766 ล้านบาท

ซึ่งจะทำให้ MAJOR บันทึกรายได้พิเศษจากการขายหุ้น SF ในไตรมาส 3/2564 จำนวน 7,766 ล้านบาท ทันที นอกจากนี้ช่วงไตรมาส 4/2564

แถมการกลับมาเปิดให้บริการครั้งนี้ น่าจะทำให้รายได้ฟื้นกลับมาไม่น้อย และเมื่อดูรายชื่อภาพยนต์ที่จะเข้าฉายไตรมาส 4 ยาวไปจนถึงปี 2565 ยิ่งทำให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก

ไม่ว่าจะเป็น Fast and Furious 9, The Suicide Squad 2, Black Widow และ Spider-Man 3 โดยหนังฟอร์มยักษ์เหล่านี้ โดยเฉพาะแนว Superhero ปกติก่อนโควิด-19 สามารถทำรายได้เกินเรื่องละ 100 ล้านบาท

มาดูความเห็นจากนักวิเคราะห์สักหน่อย ‘บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)’ เคยระบุเอาไว้ว่า หากมีการคลายล็อกดาวน์สำหรับโรงหนัง รายได้ของ MAJOR จะฟื้นตัวขึ้นจากการที่มีหนังเข้าฉายจำนวนมาก ทั้งที่ฉายไปแล้วในต่างประเทศ เช่น Fast and Furious 9, The Suicide Squad 2, Black Widow, Jungle CruiseและChang-Chi and the Legend of the Ten Rings

และหนังใหม่ที่เข้าฉายใกล้เคียงต่างประเทศ เช่น No Time to Die, Dune, Venom 2, Eternals และ Spider-Man 3 นอกจากนั้น คาดว่าจะมีหนังไทยเข้าฉาย เช่น ร่างทรง (ของค่าย GDH)

ทั้งนี้คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3/2564 จะขาดทุนมากกว่าไตรมาส 2/2564 เล็กน้อย เนื่องจากการปิดโรงหนังทั้งไตรมาส และส่วนแบ่งกำไรจาก SF ที่ลดลง

แต่การขายหุ้นทำให้ MAJOR ได้รับเงินสุทธิ 7 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ จะนำไปใช้บริหารกระแสเงินสด ชำระคืนหนี้ และทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง 150 ล้านบาท/ปี และจ่ายเป็นเงินปันผล ซึ่งคาดว่าจะจ่ายปันผลพิเศษ 1 บาท/หุ้น

นอกจากนั้น MAJOR จะบันทึกกำไรจากขายหุ้น SF หลังหักภาษี 2.82 พันล้านบาท (3.16 บาท/หุ้น) ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ของ MAJOR กลายเป็นกำไรสุทธิมากกว่า 2 พันล้านบาท

และหากมีการเปิดเมืองได้มากขึ้น MAJOR จะพลิกกลับมาเป็นกำไรได้ในปี 2565 โดยมีหนังฮอลลีวูดฟอร์มใหญ่เข้าฉายจำนวนมาก เช่น Avatar 2 ,Jurassic World : Dominion ,Black Panther2 ,The Maevels ,Thor ,Aquaman2 ,The Flash และ Transformer7

อีกทั้งมีหนังไทยหลายเรื่องที่ไม่ได้ฉายในปีนี้ เช่น บุพเพสันนิวาส 2 และพี่นาค 3 เป็นต้น ขณะที่ด้านต้นทุนและค่าใช้จ่าย บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างและลดต้นทุนไปแล้วในช่วงล็อกดาวน์

ทั้งหมดนี้ ‘Business+’ มองว่าเป็นประเด็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก ว่าการกลับมาเปิดบริการครั้งนี้จะทำให้รายได้ฟื้นกลับมาได้มากน้อยแค่ไหน เพราะ และเมื่อดูรายชื่อภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ที่จะเข้าฉายแล้ว พูดได้เลยว่า มีโอกาสที่จะเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 เลยทีเดียว

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

ข้อมูล : ตลท. ,SET ,MAJOR ,บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง

ติดตาม Business+ ได้ที่ thebusinessplus.com
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHCuS

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #เศรษฐกิจ #โรงภาพยนต์ #MAJOR #โรงหนัง #หนังฟอร์มยักษ์