Isuzu

‘ตรีเพชรอีซูซุเซลส์’ สร้าง Isuzu Community ที่แข็งแกร่ง จนครองส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง 44%

การช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) ถือเป็นความท้าทายที่บรรดาผู้ประกอบการต่างก็ต้องงัดเอากลยุทธ์ในทุก ๆ ด้านออกมาใช้ เพื่อให้เป็นผู้นำของตลาด เช่นเดียวกับ ‘ตรีเพชรอีซูซุเซลส์’ ผู้จัดจำหน่ายรถอีซูซุ (ISUZU) แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย (Sole Distributor) ที่ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจจนสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง 44% ตอกย้ำการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

คุณวิชัย สินอนันต์พัฒน์ กรรมการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2566 โดยแม้ในปีที่ผ่านมาจะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจยานยนต์ เช่น ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของบริษัทไฟแนนซ์ที่มากขึ้น อันเป็นเหตุจากอัตราหนี้เสีย (NPL) อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์เงินเฟ้อ และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ธุรกิจลีสซิ่งเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อมาก ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นความท้าทายในการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับสถานการณ์ตลาดรถปิกอัพโดยรวมในปีที่ผ่านมานั้น ความต้องการใช้รถโดยรวมลดต่ำลงกว่าปีที่แล้วอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยอุปการคุณของผู้ใช้ชาวไทย ทำให้อีซูซุสามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 44% ซึ่งนับเป็นส่วนแบ่งตลาดที่สูงอย่างยิ่ง ในขณะที่อีซูซุมิว-เอ็กซ์สามารถสร้างประวัติการณ์ครองส่วนแบ่งการตลาดและยอดจำหน่ายสูงสุดถึง 35% นอกจากนี้อีซูซุยังสามารถทำยอดขายอันดับ 1 ในส่วนของรถบรรทุกขนาดกลางและใหญ่ ด้วยส่วนแบ่งตลาดระดับสูงสุดถึง 52% นับเป็นความภาคภูมิใจในความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง

กลยุทธ์สำคัญสู่ความสำเร็จคือการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ-สร้างคุณค่าของแบรนด์

กลยุทธ์การบริหารธุรกิจ และปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูง และได้รับการยอมรับจากลูกค้าในการจัดจำหน่ายรถอีซูซุในประเทศไทย รวมทั้งการบริการหลังการขาย คือ การทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจในการใช้รถอีซูซุ ซึ่งหมายถึงการผลิตรถที่มีคุณภาพสูง ให้บริการที่ยอดเยี่ยมทั้งด้านการขายและบริการหลังการขาย อันจะส่งผลให้เกิดการซื้อซ้ำและบอกต่อในที่สุด

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่บริษัทฯ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง คือ การสร้างคุณค่าของ     แบรนด์ (Brand Equity) ในทุกด้าน ให้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของเรา ด้วยความร่วมมืออย่างดียิ่งจากผู้จำหน่ายอีซูซุซึ่งมีเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งความแข็งแกร่งของ   แบรนด์อีซูซุนี้จะทำให้ผู้ใช้รถเกิดความภูมิใจที่เป็นเจ้าของ และรู้สึกคุ้มค่าเงินเมื่อต้องการขายต่อ ดังนั้นเมื่อต้องการซื้อรถคันต่อไปก็จะเลือกแบรนด์อีซูซุ อีกทั้งยังช่วยแนะนำรถอีซูซุด้วยความเชื่อมั่นจากประสบการณ์ของตนเอง ก่อให้เกิดประชาคมอีซูซุ (Isuzu Community) ที่แข็งแกร่งและขยายตัวมากขึ้นต่อไป

มุ่งมั่นการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการเป็น “นิติบุคคลที่ดีของสังคม”

อีซูซุมีเป้าหมายที่จะเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืนเคียงคู่สังคมไทย ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวจะบรรลุผลสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อธุรกิจของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากสังคมไทย ดังนั้นนโยบายหลักสำคัญนอกเหนือจากผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจแล้ว คือ การเป็น “นิติบุคคลที่ดีของสังคม” (Good Corporate Citizen) CSR จึงเป็นนโยบายสำคัญที่อีซูซุยึดเป็นหลักในการดำเนินธุรกิจ อันได้แก่

  1. CSR in process คือ กิจกรรม CSR ที่มีผลต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและสิ่งแวดล้อมขององค์กร เช่น ระบบการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, การสร้างอาคารสำนักงานที่ประหยัดพลังงาน, การใช้วัสดุรีไซเคิล เป็นต้น
  2. CSR after process คือ กิจกรรม CSR ที่มีผลต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานขององค์กรโดยตรง เช่น โครงการ “อีซูซุให้น้ำ…เพื่อชีวิต” เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำดื่มสะอาดให้แก่โรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ เป็นต้น
  3. CSR as process คือ องค์กรที่จัดตั้งเพื่อช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยไม่มุ่งหวังผลกำไร เช่น การจัดตั้งมูลนิธิกลุ่มอีซูซุ (The Isuzu Group Foundation) เป็นต้น

นอกจากนี้ อีซูซุในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย พร้อมที่จะยืนหยัดร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยในการผลักดันให้ประเทศไทยเดินหน้ามุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 ด้วยแนวคิดอันหลากหลายโซลูชั่นส์เพื่อไปสู่สังคมที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Multi-pathways to Carbon Neutrality) ที่ลูกค้ายังคงรักษาประสิทธิภาพการใช้งานและมีทางเลือกที่หลากหลายทั้งทางรถยนต์ การพัฒนาพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ และระบบการจัดการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของคนไทยอย่างรอบด้านอีกด้วย

กลยุทธ์หลักบริหารธุรกิจเพื่อรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลง

อีซูซุในฐานะผู้นำด้านรถเพื่อการพาณิชย์ระดับโลกมากว่า 8 ทศวรรษ พร้อม “สร้างเสริมการขับเคลื่อนอย่างสร้างสรรค์ของโลก” (Creating the Movement of the Earth) โดยตระหนักว่าอุตสาหกรรมยานยนต์โลกอยู่ในยุคการเปลี่ยนผ่านในรอบศตวรรษ รถเพื่อการพาณิชย์จึงต้องเร่งพัฒนาด้วยเช่นกัน ท่ามกลางความท้าทายทางสังคมที่ต้องเอาชนะ และเพิ่มการขับเคลื่อนอย่างสร้างสรรค์ สำหรับผู้คนและสินค้าทั้งหมดในโลก อาทิ ความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องบรรลุเป้าหมายสังคมความเป็นกลางทางคาร์บอน ความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรเป็นศูนย์ การจัดการปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เป็นต้น

ดังนั้นในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ กลยุทธ์หลักที่อีซูซุได้ใช้ในการบริหารธุรกิจอย่างต่อเนื่องตลอดมา คือ การสร้างความแตกต่าง (Differentiation), การตลาดเพื่อสร้างความภักดี (Loyalty Marketing) และการเป็นนิติบุคคลที่ดีของสังคม (Good Corporate Citizen) ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะทำให้แบรนด์อีซูซุโดดเด่นเหนือคู่แข่งขันในตลาดรถยนต์เมืองไทย