ไม่กี่วันที่ผ่านมา ‘สำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)’ ได้ดำเนินคดีกับผู้บริหาร บริษัท บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี จำกัด จากการใช้ข้อมูลภายใน (Insider Trading) ซื้อโทเคนดิจิทัล Bitkub Coin (เหรียญ KUB)
หากอธิบายให้ฟังง่ายๆ ก็คือ ก.ล.ต.มองว่าผู้บริหารรายนี้ (นายสำเร็จ วจนะเสถียร) ได้ใช้ข้อมูลภายในจากประเด็นข่าวที่ SCB จะเข้าซื้อ Bitkub เพราะตรวจสอบแล้วพบว่ามีการซื้อเหรียญ KUB จำนวนมาก ตั้งแต่ 4 ก.ย.จนถึง 2 พ.ย.2564 (ก่อนประกาศดีลใหญ่) ซึ่งหลังจากประกาศดีลราคาซื้อขายเหรียญ KUB ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่จะเปิดเผยข้อมูลออกมา (โดยราคาสูงสุดของวันอยู่ที่ 99.99 บาท หรือเพิ่มขึ้น 101% จาก 49.53 บาท)
ดังนั้น ก.ล.ต.จึงมองว่าเป็นการซื้อที่ผิดปกติจากพฤติกรรมเดิม จนนำมาสู่ความผิดด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่ง และได้ให้ชดใช้ 8,530,383 บาท และห้ามดำรงตำแหน่งผู้บริหาร 1 ปี
ข่าวของ Bitkub นั้น ถือว่าเป็นประเด็นที่กลายเป็นกระแสอย่างมาก แต่รู้หรือไม่ว่าโดยปกติแล้วผู้บริหารในตลาดหุ้น และตลาดคริปโตมักมีการกระทำผิดฐาน Insider Trading อยู่หลายครั้ง
ครั้งนี้ ‘Business+’ จึงมาเปิดข้อมูลสถิติความผิดของผู้บริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในฐานความผิดฐานใช้ข้อมูลภายใน/เปิดเผยข้อมูลภายใน (Insider Trading) รวมถึงฐานการสร้างราคาหลักทรัพย์ในช่วงปี 2560-2565 (31 ก.ค.65)
โดยเราพบข้อมูลว่า ในปี 2565 ซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่เดือนม.ค.จนถึงก.ค.2565 มีจำนวนผู้บริหารที่กระทำผิดไปมากถึง 28 ราย ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2560 โดยกลุ่มผู้บริหาร Bitkub ที่เคยถูกกล่าวโทษก็เป็นหนึ่งใน 28 ราย หากย้อนรอยดูเคสที่ Bitkub ถูก ก.ล.ต. สั่งปรับพบว่ามีการถูกปรับไปแล้วถึง 11 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าเงินค่าปรับกว่า 43 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เกิดจากการสร้างปริมาณซื้อขายเทียมในกระดาน Bitkub
สาเหตุที่ทำให้ปี 2565 เป็นปีที่มีการกระทำผิดมากที่สุดนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดจากกรณีของการซื้อขายโทเคนดิจิทัล หรือ Cryptocurrency ที่ ก.ล.ต.ได้เข้ามามีบทบาทควบคุมอย่างจริงจังตั้งแต่ช่วงปี 2564 ภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561
โดยข้อหาการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน (Insider) อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มาตรา 242 เป็นความผิดที่จะถูกใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง
ซึ่งข้อมูลภายใน หมายถึง ข้อมูลที่ยังมิได้มีการเปิดเผยต่อประชาชนเป็นการทั่วไป โดยผู้บริหารที่เข้าข่าย “รู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน” ตามมาตรา 243 กำหนดเอาไว้ดังนี้
1. กรรมการ ผู้บริหาร ผู้มีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์
2. พนักงานของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ที่รับผิดชอบ/สามารถเข้าถึงข้อมูลภายในได้
3. บุคคลที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลภายใน เช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ปรึกษากฎหมายและผู้สอบบัญชี รวมทั้งผู้ร่วมงานที่มีส่วนร่วมในการทำหน้าที่
4. กรรมการ อนุกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ที่ปรึกษา ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานรัฐ ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งอยู่ในตำแหน่ง ฐานะ ที่สามารถรู้ข้อมูลภายในจากการปฏิบัติหน้าที่
5. นิติบุคคล ซึ่งบุคคลตาม (1)-(4) ที่มีอำนาจควบคุมกิจการ
นอกจากผู้บริหารแล้ว คนรอบข้างผู้บริหาร หรือผู้ถือหุ้นแต่ไม่ได้เป็นผู้บริหารก็มีความผิดหากกระทำผิดเช่นกัน โดยมาตรา 244 กำหนดเอาไว้ว่าหากพบความผิดปกติของการซื้อขาย หรือเปิดเผยข้อมูลจากบุคคลเหล่านี้ก็มีความผิดเช่นเดียวกั
1. ผู้ถือหุ้นเกิน 5% โดยนับรวมของคู่สมรส/ผู้ที่อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา/บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
2. กรรมการ ผู้บริหาร ผู้มีอำนาจควบคุมกิจการ พนักงานหรือลูกจ้างของกิจการในกลุ่มบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งหรือสายงานที่รับผิดชอบข้อมูลภายใน หรือที่สามารถเข้าถึงข้อมูลภายในได้ (บ.ใหญ่ บ.ย่อย บ.ร่วม)
3. บุพการี/ผู้สืบสันดาน/ผู้รับบุตรบุญธรรม/บุตรบุญธรรม/พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน/ร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกันของ Insider
4. คู่สมรส/ผู้ที่อยู่กินฉันสามีภริยาของ (3)
โดยบทลงโทษของผู้กระทำผิดฐาน หรือเปิดเผยข้อมูลภายใน หรือทำการซื้อขายหุ้นที่ผิดปกติและเป็นบุคคลในกลุ่มที่ ‘Business+’ กล่าวถึง จะมีบทลงโทษตามมาตรา 296 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 500,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่มา : SEC
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/o9fQ6fA
IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/
.
#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #กลโกง #Insider Trading #แอบใช้ข้อมูลภายใน