India

จริงหรือ? ‘อินเดีย’ จะขึ้นเป็นชาติมหาอำนาจแทนสหรัฐฯ

ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกมี 5 ประเทศมหาอำนาจที่เป็นตัวเอกขับเคลื่อนหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, จีน, ญี่ปุ่น, เยอรมนี และอินเดีย ซึ่งการดำเนินนโยบายทั้งการคลัง และนโยบายการเงิน ของประเทศทั้ง 5 นี้จะมีอิทธิพลต่อการค้า และการลงทุนในประเทศอื่น ๆ เป็นอย่างมาก ในฐานะคู่ค้าคนสำคัญ

ซึ่งแต่ละประเทศต่างมีกลยุทธ์วิถีการแข่งขันที่ดุเดือดเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) แข็งแกร่ง โดย GDP ถือเป็นเครื่องมือชี้วัดทางเศรษฐศาสตร์ที่แสดงถึงสถานการณ์ทางการเงิน และความแข็งแกร่งของประเทศ ซึ่งเมื่อ GDP เพิ่มขึ้นหมายความว่ารายได้ภายในประเทศก็เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจมีความคล่องตัว ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะมีการพิจารณาการลงทุนโดยอิงข้อมูลการเติบโตของ GDP เป็นอันดับแรก

ทั้งนี้ ‘Business+’ ได้ทำการสำรวจข้อมูลด้าน GDP ย้อนหลัง 3 ปี (2020-2022) พบว่า การเติบโตของ GDP ทั้ง 5 ประเทศมหาอำนาจมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

สหรัฐอเมริกา : GDP ปี 2020 อยู่ที่ 21,060 พันล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2021 อยู่ที่ 23,315 พันล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2022 อยู่ที่ 25,461 พันล้านเหรียญสหรัฐ

จีน : GDP ปี 2020 อยู่ที่ 14,862 พันล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2021 อยู่ที่ 17,759 พันล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2022 อยู่ที่ 18,100 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ญี่ปุ่น : GDP ปี 2020 อยู่ที่ 5,048 พันล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2021 อยู่ที่ 5,005 พันล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2022 อยู่ที่ 4,233 พันล้านเหรียญสหรัฐ

เยอรมนี : GDP ปี 2020 อยู่ที่ 3,886 พันล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2021 อยู่ที่ 4,262 พันล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2022 อยู่ที่ 4,075 พันล้านเหรียญสหรัฐ

อินเดีย : GDP ปี 2020 อยู่ที่ 2,671 พันล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2021 อยู่ที่ 3,150 พันล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2022 อยู่ที่ 3,386 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ขณะที่แนวโน้มในปี 2023 ทาง Statista มีการคาดการณ์ว่า การเติบโตของ GDP อินเดีย จะอยู่ที่ 3,736 พันล้านเหรียญสหรัฐ, จีน อยู่ที่ 19,373 พันล้านเหรียญสหรัฐ, สหรัฐอเมริกา 26,854 พันล้านเหรียญสหรัฐ, เยอรมนี อยู่ที่ 4,308 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ ญี่ปุ่น อยู่ที่ 4,409 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้จากข้อมูลที่ ‘Business+’ สืบค้นจะเห็นว่า GDP ของอินเดียมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเป็นผลพวงมาจากอุตสาหกรรมมีความก้าวหน้า และมีจำนวนประชากรมหาศาล ล่าสุดอินเดียมีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก อยู่ที่ 1,428 ล้านคน อีกทั้งอินเดียยังเป็นประเทศที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติและบุคลากรมืออาชีพมีทักษะขั้นสูงที่เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันอินเดียถือเป็นประเทศที่มี Start up ระดับยูนิคอร์น มากถึง 106 บริษัท ติดท็อป 3 ของโลก เป็นรองจากสหรัฐอเมริกา และจีน เท่านั้น ซึ่งผลลัพธ์นี้สะท้อนออกมาเป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากย้อนกลับไปดูตัวเลข GDP ของอินเดียเมื่อ 5 ปีก่อนอยู่ที่ 2,702.93 พันล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับปี 2022 คิดเป็นการเพิ่มขึ้นสูงถึง 25.28% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าสหรัฐอเมริกา เมื่อมองย้อนกลับไป 5 ปีก่อนอยู่ที่ 20,533.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับปี 2022 คิดเป็นการปรับตัวขึ้นเพียง 24%

สอดคล้องกับข้อมูลของ Goldman Sachs ที่ระบุว่า อินเดียกำลังจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกภายในปี 2075 เนื่องจากประเทศมีความก้าวหน้าในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี มีการลงทุนที่สูงขึ้น และประชากรชนชั้นแรงงานทักษะมีศักยภาพมากขึ้น อีกทั้ง Goldman Sachs มองว่ารัฐบาลอินเดียให้ความสำคัญกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างถนนและทางรถไฟ เพื่อกระตุ้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ถือเป็นการสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคเอกชนในการผลิตและบริการ เพื่อให้มีการสร้างงานรองรับกำลังแรงงานจำนวนมาก

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจของอินเดียนั้น รายงานระบุว่า รายได้จากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของอินเดียคาดการณ์จะเพิ่มขึ้น 245 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ (อ้างอิง : Nasscom) โดยการเติบโตดังกล่าวจะมาจากทั่วทั้งอุตสาหกรรมไอที ​​การจัดการกระบวนการทางธุรกิจ และผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ อีกทั้งการลงทุนจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนที่สำคัญต่อการเติบโตของอินเดีย

โดย Goldman Sachs ได้มีการคาดการณ์ GDP ปี 2075 ของแต่ละชาติไว้ ดังนี้

– จีน 57 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

– อินเดีย 52.50 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

– สหรัฐอเมริกา 51.50 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

– สหภาพยุโรป 30.30 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

– ญี่ปุ่น 7.50 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

India

อย่างไรก็ตามในมุมมองของ ‘Business+’ นั้น แม้จะมีการคาดการณ์ว่าอินเดียจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับ 2 แทนที่สหรัฐอเมริกา แต่นั่นก็เป็นเพียงตัวเลข GDP มวลรวม เท่านั้น ซึ่ง GDP เป็นผลลัพธ์ที่แสดงถึงความการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศเท่านั้น แล้วปัจจุบันอินเดียถือเป็นประเทศที่บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกต่างมองเป็นเป้าหมายฐานการผลิตต่าง ๆ ซึ่งนี่ถือเป็นตัวขับเคลื่อนชั้นดี

แต่หากมองครอบคลุมด้านต่าง ๆ สหรัฐอเมริกาจะมีความแข็งแกร่งที่มากกว่า เนื่องจากมีฐานโครงข่ายพันธมิตรที่กว้างขวาง และมีเส้นทางคู่ค้ารายใหญ่ที่มีการทำสัญญากันมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ อย่างไทยที่มีการทำข้อตกลงทางการค้าเสรี  เป็นต้น นอกจากจะมีความแข็งแกร่งด้านพันธมิตรยังมีความเก่งกาจในเรื่องของยุทธการทางทหาร รวมทั้งการเมือง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่สหรัฐอเมริกามีการจัดการที่เป็นแบบแผน

โดยสหรัฐอเมริกามีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ฝังรากลึก จึงทำให้การดำเนินงานต่าง ๆ มีความรวดเร็ว และมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ถือเป็นประเทศที่ได้การยอมรับจากนานาชาติ ซึ่งนับตั้งแต่อดีตอเมริกาถือเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการปกครองแบบประชาธิปไตยในหลายประเทศ ขณะที่อินเดียมีการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ และกระจายอำนาจการปกครองในลักษณะสหพันธรัฐ คือ มีรัฐบาลกลางเป็นผู้ดำเนินกิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับประโยชน์ส่วนรวม แต่ละรัฐมีอำนาจเฉพาะกิจการภายในรัฐของตนเท่านั้น

นอกจากนี้เมื่อเทียบในแง่ของ GDP Per capita แล้ว สหรัฐฯ ยังมี GDP ต่อหัวของคนสูงกว่าอินเดีย โดยในปี 2022 ตัวเลข GDP Per capita ของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 59,995 เหรียญสหรัฐฯ เทียบกับอินเดีย 2,379.21 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงรายได้ต่อหัวประชากร และความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตของคนในประเทศที่ดีกว่าอินเดีย (อธิบายให้เข้าง่ายๆ คือ รายได้เฉลี่ยของคนในสหรัฐฯ ยังสูงกว่าอินเดียถึง 57,615.79 เหรียญสหรัฐฯ) ขณะที่อีก 3 ปรเทศ อย่าง จีน มี GDP ต่อหัวอยู่ที่ 12,813.77 เหรียญสหรัฐ, เยอรมนี อยู่ที่ 48,636.03 เหรียญสหรัฐ และ ญี่ปุ่น อยู่ที่ 33,821.93 เหรียญสหรัฐ

อีกทั้งการค้าขาย การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเกือบ 90% ของทั้งหมดในโลกนี้ รวมทั้งทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้เกือบ 60% เกี่ยวข้องกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับเป็นสกุลเงินกลางที่ทั่วโลกต่างวางใจใช้ทำธุรกรรมการเงิน

ทั้งนี้ก็ต้องมาติดตามกันต่อไปว่าภายหลังที่มีบทการคาดการณ์ออกมาแบบนี้แล้วนั้น ทางสหรัฐอเมริกาจะมีการพัฒนา ผลักดันการเติบโตของ GDP อย่างไร เพื่อไม่ให้หล่นชั้นมาอยู่ล่างอินเดีย

.

ที่มา : CNBC, วิกิพีเดีย, Thai PBS, Statista, finvest, MGR online

.

เขียนและเรียบเรียง : ศิริวรรณ อรรถสุวรรณ

.
ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.facebook.com/businessplusonline/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS
.
#Businessplus #thebusinessplus #นิตยสารBusinessplus #เศรษฐกิจ #GDP #อินเดีย #จีน #สหรัฐอเมริกา #เยอรมนี #ญี่ปุ่น