หลังจากดีลใหญ่เขย่าอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างการควบรวมกิจการของ บริษัทนิสสัน มอเตอร์ (Nissan Motor) กับกิจการกับฮอนด้า มอเตอร์ (Honda Motor) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ส่อเค้าล้มเหลว ก็มีผู้เล่นหน้าใหม่ของวงการยานยนต์แต่เป็นผู้เล่นหน้าเดิมที่เป็นบริษัทระดับโลกของวงการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่าง บริษัทฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) ขึ้นมา
ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้ามาเกี่ยวอะไรกับบริษัทผลิตรถยนต์ วันนี้ ‘Business+’ จึงนำข้อมูลของ Foxconn มานำเสนอ
โดย Foxconn เป็นบริษัทในเครือของ หองไห่พรีซีชันอินดัสทรี จำกัด ก่อตั้งมาตั้งแต่ 20 กุมภาพันธ์ 1974 หรือราว 51 ปีที่แล้ว ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดบนธุรกิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกมากถึง 41% และมีบริษัทระดับโลกเป็นลูกค้าหลักมากมาย เช่น Apple , Nvidia, Huawei, Xiaomi
แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา Foxconn ได้เริ่มมองหาธุรกิจอื่นเพื่อการเติบโตที่มากขึ้น จึงได้เริ่มขยายสู่ธุรกิจใหม่ๆ ด้วยการเข้าลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจด้านอื่น ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการด้านโทรคมนาคม , เทคโนโลยีทางการแพทย์ ,วิทยาการหุ่นยนต์ หนึ่งในนั้นคือธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่ง Foxconn ได้มองหา และลงทุนในบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และยังได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วยการจับมือกับบริษัทยักใหญ่ด้านพลังงานของ ปตท. ด้วยเงินร่วมทุนกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 33,660 ล้านบาท เพื่อศึกษาการสร้างแพลตฟอร์มผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าครบวงจร
จะเห็นได้ว่า Foxconn พยายามที่จะขยับขยายเข้าสู่ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าครองส่วนแบ่ง 10% ในตลาดชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าโลกภายในปี 2025
ทีนี้มาดูรายได้ย้อนหลังของ Foxconn ตั้งแต่ปี 2005 กันค่ะว่า มีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยขนาดไหน?
จะเห็นได้ว่า Foxconn ใช้เวลาแค่เพียง 20 ปีในการสร้างรายได้จากเดิมอยู่ที่ 7 แสนล้านบาท มาสู่ 7 ล้านล้านบาท คิดเป็นการเติบโตมากถึง 868% เลยทีเดียว แต่ธุรกิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้กับแบรนด์ต่างๆ โดยเฉพาะกับการพึ่งพา Apple มากเกินไปก็อาจเป็นความเสี่ยงในอนาคต หากมีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายการผลิตของแบรนด์เหล่านี้ ดังนั้น Foxconn จึงเลือกที่จะทุ่มงบประมาณสำหรับการวิจัยและพัฒนาไปสู่ธุรกิจอนาคตอื่นๆ ซึ่งหากบริษัทฯ สามารถเข้าสู่ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ก็จะทำให้บริษัทฯ แห่งนี้มีรายได้ที่มั่นคงขึ้นนั่นเอง
ที่มา : Statista , Companiesmarketcap
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ติดตามผ่าน TikTok ได้ที่ : https://www.tiktok.com/@thebusinessplus
Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS