Dr.Jel

The Success Story of The Month ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ เชื่อมนวัตกรรม AI ยกระดับธุรกิจแบบ Full Function

The Success Story of The Month By ‘Business+’ฉบับเดือนมกราคม 2567 จะพาผู้อ่านมาพบกับบทสัมภาษณ์สุดพิเศษจาก ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ โชติเตชธรรมมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ด็อกเตอร์ เจล จำกัด ภายใต้กลุ่ม บริษัท ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ต้นแบบบริษัทที่พัฒนาโมเดลธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการต่อยอดและพัฒนาจากธุรกิจเดิมที่มีอยู่ จนทำให้ปัจจุบันนี้กลายเป็นบริษัทที่ครบวงจร ตั้งแต่การรับจ้างผลิตซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำไปจนถึงช่วยส่งเสริมการขายให้กับคู่ค้า และยังนำเทคโนโลยี Ai มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กรทั้งภายในและภายนอก

เป็นที่รู้กันดีว่าอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูง จึงทำให้มีผู้เล่นใหม่ ๆ และนวัตกรรมใหม่เข้ามาอยู่เสมอ ดังนั้นในปัจจุบันธุรกิจนี้มีการแบ่งแยกออกเป็นหลาย Segment ตามความต้องการที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาทำการแข่งขันเพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาด โดยแบรนด์เหล่านี้ก็จะมาทำการแข่งขันในเรื่องของราคาเพื่อให้สามารถดึงความสนใจของลูกค้าให้ได้มากที่สุด ดังนั้นการที่จะรักษาความเป็นผู้นำตลาดได้จะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นคุณภาพแทนการแข่งขันด้านราคา และในขณะเดียวกันก็ต้องมีการศึกษา ทำความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าให้ได้อย่างถ่องแท้เพื่อให้สามารถเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่ง

ซึ่งกลุ่มบริษัทของ ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’เริ่มต้นจากผู้ผลิต และรับจ้างผลิตสินค้าด้านสุขภาพและความงาม แต่ได้มีการต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจนนำมาสู่การเป็นบริษัทที่ให้บริการได้ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ อีกทั้งยังได้นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI เข้ามาช่วยเสริมธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนภายใน รวมไปถึงให้บริการด้านการตลาดให้กับคู่ค้าได้อย่างครบวงจร

ดร.เจล

ทั้งนี้ ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ โชติเตชธรรมมณี (ดร.เจล) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ด็อกเตอร์ เจล จำกัด ภายใต้กลุ่ม บริษัท ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมของผลการดำเนินงานที่ผ่านมาสามารถเติบโตได้ในทุก ๆ ธุรกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาพัฒนาสินค้าเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกช่วงอายุ

โดยธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และสร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษัทมากที่สุดยังคงเป็นธุรกิจเครื่องสำอาง ซึ่งรายได้เติบโตเฉลี่ย 700% นอกจากนี้ยังมีธุรกิจที่เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด คือ ธุรกิจอาหารเสริมสำหรับสัตว์ ซึ่งถึงแม้ยังเป็นธุรกิจน้องใหม่แต่ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดี เพราะบริษัทฯ ถือเป็นเจ้าแรกที่มีทีมสัตวแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญช่วยดูทุกกระบวนการผลิตรวมทั้งอิงตามข้อระเบียบของกฎระเบียบทางธุรกิจเกษตรและอาหาร (Agro) อย่างเคร่งครัด

โครงสร้างธุรกิจในปัจจุบันประกอบไปด้วย 4 เสาหลัก

  1. บริษัท ออกานิกส์ คอสเม่ จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตเครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ วัตถุอันตราย นำเข้าเครื่องสำอาง, ยา และ เครื่องมือแพทย์
  2. บริษัท ออกานิกส์ อินโนเวชั่นส์ จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์, ผลิตอาหาร, ผลิตสมุนไพร, นำเข้าอาหาร และคิดค้นนวัตกรรม
  3. บริษัท ออกานิกส์ กรีนส์ ฟาร์ม จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับนำเข้า-ส่งออกวัตถุดิบ การเพาะปลูกกัญชง-กัญชา การเพาะเลี้ยงถั่งเช่า รวมไปถึงเพาะ-วิจัยสารสกัด และอาหารเสริมสัตว์
  4. บริษัท ด็อกเตอร์ เจล จำกัด ดำเนินธุรกิจค้าปลีกรวมถึงวางระบบโครงสร้าง, ส่งเสริมการขาย, ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม, เครื่องสำอางสำหรับดูแลสุขภาพ, ส่งออกต่างประเทศ, Telesales และรับจ้างเขียนโปรแกรม

ทั้งนี้ การพัฒนาและต่อยอดอย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีธุรกิจที่ครอบคลุมทุกกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำส่งผลให้บริษัทฯ กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดย ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันมีความแตกต่างจากอดีตอย่างชัดเจน ปัจจุบันนี้นอกจากบริษัทฯ จะเป็นโรงงานผลิตแล้ว ยังเป็นผู้คิดค้นส่งวัตถุดิบ (Raw Material) ที่ได้วิจัยและพัฒนาขึ้นมาเอง รวมถึงนำเข้าระบบขนส่ง (Shipping) เพื่อนำไปกระจายให้กับโรงงานอื่น ๆ ในประเทศ

สำหรับแผนการขยายธุรกิจของกลุ่มสินค้าสุขภาพและความงามภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ล่าสุดได้มีการขยายโรงงานไปตั้งยังต่างประเทศ ด้วยการลงนามสัญญา (MOU) ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงการส่งออกเพื่อจัดจำหน่ายกับทางรัฐบาลเกาหลีใต้ เพื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องสำอางบนเกาะเชจู โดยเกาะเชจูนั้นเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยธรรมชาติ และมีวัตถุดิบคุณภาพสูง อย่างเช่น เส้นใย, น้ำ, น้ำแร่, หิน เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะเป็นวัตถุดิบที่มีคุณภาพแล้วยังถือเป็นการใช้หลักทางการตลาดอิงหลักจิตวิทยาของกลุ่มลูกค้า ที่มักมีความเชื่อว่าหากผลิตภัณฑ์ใด Made in Korea นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด

“ทุกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบริษัทนั้นตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกช่วงวัย เนื่องจากเราแยกแบรนด์ แยก Segment อย่างชัดเจน เพื่อแสดงจุดยืนของผลิตภัณฑ์ให้กลุ่มเป้าหมายได้เห็นอย่างชัดเจน อีกสิ่งหนึ่งการที่มีพาร์ตเนอร์ต่างชาติจะทำให้แบรนด์ Worldwide มากขึ้น ซึ่งเราไม่ได้จะจับมือแค่กับเกาหลีเท่านั้นแต่ยังมีอีกหลายประเทศที่อยู่ในแผนของเรา” ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ กล่าว

นอกจากธุรกิจคิดค้นและผลิตสินค้าสุขภาพและความงามแล้ว กลุ่มบริษัท ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป ยังมีธุรกิจที่ให้บริการทางด้านตลาด (Marketing) เพื่อส่งเสริมการขายทั้งในประเทศ และส่งออกไปต่างประเทศให้กับคู่ค้า ทั้งการให้บริการด้าน Telesales รวมไปถึงโปรแกรมการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP)

สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทฯ เองนั้น ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ กล่าวว่า กลุ่มบริษัทฯ จะเน้นทำการตลาด Telesales เพราะจะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่าและเร็วกว่าเครื่องมืออื่น ๆ เนื่องจากกลุ่มบริษัทมีสินค้าที่ค่อนข้างหลากหลาย โดยจากผลการสำรวจจากพาร์ตเนอร์ส่วนใหญ่ที่ลงโฆษณาออนไลน์ (Ads) จำนวนมาก แต่กลับขาดทุนตั้งแต่คำสั่งซื้อแรก ซึ่งจากการวิเคราะห์และมองเห็นปัญหาจึงทำให้เกิดกลยุทธ์การขายที่ต้องทำให้ลูกค้าเกิดการสั่งซ้ำ และต้องเข้าถึงลูกค้าให้ง่ายขึ้น ดังนั้น Telesales จึงตอบโจทย์

ซึ่งสัดส่วนผู้ประกอบการที่เปลี่ยนมาใช้รูปแบบ Telesales ในปัจจุบันมีจำนวนมาก เพราะ Telesales สามารถช่วยให้ปิดการขายได้ดีขึ้น และเห็นผลลัพธ์ของยอดขายที่เติบโตขึ้นตั้งแต่ 7-8 นาทีแรกของการเริ่มขาย ซึ่งแตกต่างกับการลงโฆษณาออนไลน์ที่ใช้เวลานาน

นอกจากนี้อีกหนึ่งแผนการตลาดของบริษัทฯ คือการสร้างการรับรู้แบรนด์ หรือ Brand Awareness ผ่านการร่วมเป็นสปอนเซอร์รายการต่าง ๆ อย่างเช่น การประกวด มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ รวมถึงจ้าง Influencer เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและมีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ยังต้องสร้างการรับรู้ผ่านสื่อในบ้าน อย่างโฆษณาหลังข่าว หรือหลังรายการทอล์กโชว์ ซึ่งช่องทางนี้ช่วยให้มีลูกค้าติดต่อเข้ามาทาง Telesales จำนวนมากและยังสามารถปิดการขายได้ดีกว่าช่องทางอื่น ๆ

“เรามีช่องทางโปรโมตทั้งฝั่งออนไลน์ที่ลง Ads และฝั่งออกสื่อทีวี ซึ่งทุกอย่างจะปิดจบที่ Telesales โดยจะเป็นกลุ่มที่ติดต่อลูกค้าโดยตรง จากผลการสำรวจตลาดนั้นลูกค้ามักชอบคุยกับคนมากกว่าที่จะคุยโต้ตอบกับระบบอัตโนมัติหรือบอต อีกทั้งสินค้าส่วนใหญ่ของเราจะเกี่ยวข้องกับสุขภาพความงาม ซึ่งกลุ่มคนมีอายุค่อนข้างให้ความสนใจและจะชอบโทรมากกว่าพิมพ์เป็นข้อความ จึงส่งผลให้บริการ Telesales สามารถสร้างยอดขายได้มาก” ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ กล่าว

Next Step With AI

นอกจากการมีธุรกิจแบบครบวงจร (One Stop Service) ตั้งแต่ออกแบบ รับผลิต ส่งเสริมการขายแล้ว ธุรกิจน้องใหม่ล่าสุดที่ กลุ่มบริษัท ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป ให้ความสนใจที่จะพัฒนาอย่างมาก นั่นคือ การนำ AI มาใช้พัฒนาธุรกิจ ซึ่งนวัตกรรม AI ที่ทางบริษัทฯ คิดค้นพัฒนาขึ้นมาถือว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้กับบริษัทได้ในอนาคต

โดย ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งเน้นในการพัฒนา AI ทั้งที่เป็นระบบโปรแกรม AI, Software ต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้จัดการระบบในโรงงาน รวมถึงระบบการขายสปอตโฆษณาให้กับลูกค้าที่เรียกว่า AI listening รวมไปถึงใช้ AI ในการออกแบบสินค้า Packshot หรือแม้กระทั่งการนำ AI Influencer มาใช้แทน Influencer ซึ่งเป็นคนจริง ๆ ที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่พบเจอในปัจจุบันของเจ้าของกิจการที่ต้องการว่าจ้าง Influencer ที่อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ซึ่ง AI Influencer ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของบริษัทฯ จะมีกระบวนการทำงานในลักษณะป้อนข้อมูลเข้าไปในระบบและใช้มนุษย์เป็นต้นแบบ ซึ่งสามารถออกแบบหน้าตาและเสียงของ Influencer ได้ตามที่ต้องการ

ทั้งนี้บริษัทฯ ได้วาง Positioning หลัก ๆ ของ AI ให้อยู่ในรูปแบบการซัพพอร์ตระบบหลังบ้านของลูกค้าด้วยบริการแบบ Full Function ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้ามีความต้องการออกสินค้าใหม่เพื่อนำไปจำหน่าย ซึ่งกระบวนการปกติจะต้องไปจ้างช่างเพื่อถ่ายภาพสินค้า Packshot จ้างพรีเซนเตอร์ แต่บริการที่บริษัทฯ จะมอบให้ลูกค้า คือ การใช้ AI มาช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ ออกแบบภาพสำหรับการโฆษณา ใช้เพื่อแปลภาษา รวมไปถึงใช้วิเคราะห์ช่องทางส่งเสริมการขาย ซึ่งการให้บริการแบบครบวงจรนี้ทำให้ ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป มีความแตกต่างกับผู้เล่นรายอื่นในตลาด และจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจในอนาคตได้เป็นอย่างมาก

“เรามี AI ที่พัฒนาขึ้นมาเองแตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นในตลาด ซึ่งกระบวนการทำงานก็มีความรวดเร็ว รวมทั้งมีความถูกต้องแม่นยำ โดยใช้เวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็สามารถรังสรรค์ทุกสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้” ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ กล่าว

การเลือกเส้นทางที่ถูกต้องนำไปสู่ความสำเร็จ

สำหรับมุมมองการพัฒนาธุรกิจ พัฒนาสินค้าในอนาคตนั้น ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ กล่าวว่า แนวทางการพัฒนาสินค้าส่วนใหญ่จะเน้นนวัตกรรมเป็นหลัก ทั้งจากแบรนด์ของบริษัทเองและแบรนด์ของลูกค้าที่มาจ้างผลิต โดยนวัตกรรมจะถูกนำมาผสมผสานอยู่ที่ตัวสินค้า สารสกัด รวมไปถึงการตลาด ซึ่งยิ่งนวัตกรรมที่มีความล้ำสมัยก็จะทำให้เกิดความแปลกใหม่ และมีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการต่อยอดจากความเชี่ยวชาญที่มีเพื่อสร้างสิ่งใหม่ให้เหนือชั้นกว่าที่เคยมี

โดยที่สินค้าของกลุ่มบริษัทฯ จะเน้นตลาดระดับบนไม่แข่งขันด้านราคา ทำให้ในแต่ละเดือนจะมียอดคำสั่งซื้อซ้ำเกินกว่าครึ่ง เป็นผลมาจากการบริการที่มีความจริงใจ ใส่ใจลูกค้าเป็นอันดับหนึ่งทั้งลูกค้ารายเดิมและรายใหม่ โดยหากมีสินค้าใหม่ก็จะมีการติดต่อสอบถามถึงความต้องการซึ่งส่วนมากลูกค้ารายเดิมจะมีความเชื่อมั่น แม้จะเป็นสินค้าใหม่ก็มักจะสั่งซื้อและซื้อซ้ำอยู่เสมอ

สำหรับในปี 2567 ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ มองว่า กลุ่มสินค้าสุขภาพจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่ช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้กับบริษัทฯ ได้สูงที่สุด เนื่องจากกลุ่มสินค้าประเภทนี้มีหลากหลายประเภท สามารถนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาพัฒนาสินค้าได้อยู่เสมอ และความต้องการในตลาดยังสูงต่อเนื่อง จึงส่งผลให้มูลค่าตลาดอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้บริษัทฯ จึงได้มีการผลิตสินค้าหลาย ๆ อย่างเพื่อที่จะได้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างทั่วถึง

โดยในอดีตมักมีแนวคิดหากอยากเป็นอันดับ 1 ของตลาดต้องทุ่มเทในด้านการโฆษณาเพื่อสร้าง Brand Awareness แต่ในความเป็นจริงบางครั้งไม่สามารถสู้รายใหญ่ได้ กลยุทธ์การสร้างความหลากหลายแล้วเข้าไปอยู่ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อกินส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ภายหลังจากนั้นหากแบรนด์มีความมั่นคงค่อย ๆ พัฒนาผลักดันให้ขึ้นเป็นหนึ่งใน TOP10 ของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น ดังนั้นการสร้างความมั่นคงจึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน

“ต้องโฟกัสไปทีละจุด แรกเริ่มเราเริ่มจากโรงงานผลิตและหลังจากนั้นจึงได้พยายามหาส่วนที่ขาดหายไปของจิ๊กซอว์ให้ครบ แต่ยังอยู่ในแผนเดิม ปัจจุบันจึงทำให้บริษัทฯ มีหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ทั้งคิดค้นและวิจัยวัตถุดิบ ระบบ Shipping ระบบ AI การรับจ้างผลิต ซึ่งทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป หากสมมติเริ่มทำสิ่งหนึ่งที่ยังไม่บรรลุแต่กระโดดไปเริ่มสิ่งใหม่ต่อนั่นอาจจะไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้” ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ กล่าวในตอนท้าย

จากการสัมภาษณ์พิเศษกับ ‘ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ โชติเตชธรรมมณี’ ทำให้เราเห็นมุมมองของการบริหารของคนรุ่นใหม่ที่การเลือกใช้เครื่องมือสมัยใหม่มาผนวกเข้ากับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อให้เกิดช่องทางใหม่ ที่สามารถเข้าถึงและตีโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด ซึ่ง AI ถือเป็นนวัตกรรมที่ ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ เลือกใช้ในการเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ และยังช่วยต่อยอดธุรกิจที่มีได้เป็นอย่างดี สุดท้ายนี้รากฐานธุรกิจของ ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ จาก 4 เสาหลักผนึกกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเทรนด์โลก จึงสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดและมั่นคง

ปิดท้ายกับด้วยความสำคัญของปัญญาประดิษฐ์สำหรับอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามในมุมของ ดร.เจล

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กับการปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ต้องยอมรับว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่มีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรม และสำหรับอุตสาหกรรมการแพทย์และความงาม การมาของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาวิธีการรักษาและบริการด้านความงามให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

AI ในอุตสาหกรรมการแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยโรค

AI มีบทบาทสำคัญในการช่วยแพทย์วินิจฉัยโรค ด้วยการใช้ข้อมูลจำนวนมหาศาลจากผู้ป่วยในอดีต เพื่อสร้างแบบจำลองที่สามารถทำนายอาการและโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ AI ยังช่วยในการอ่านภาพจากเอกซเรย์ และ MRI ได้อย่างแม่นยำ ลดโอกาสในการตีความผิดพลาดจากมนุษย์ รวมถึงสามารถบริหารจัดการข้อมูลผู้ป่วยได้ดีเพิ่มขึ้น โดย AI จะช่วยในการจัดการข้อมูลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากและแปลงเป็นข้อมูลที่มีค่าในการตัดสินใจทางการแพทย์ ทำให้แพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

นอกจากนี้ ในประเด็นการพัฒนายาและการรักษา ก็ต้องยอมรับว่า AI มีส่วนช่วยในการวิจัยและพัฒนายาใหม่ ๆ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางเคมีและชีวภาพจำนวนมหาศาล เพื่อค้นหาสารที่มีศักยภาพในการรักษาโรคต่าง ๆ นอกจากนี้ AI ยังช่วยในการทำนายผลข้างเคียงและปฏิสัมพันธ์ของยาต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ

ถึงตรงนี้ เราพอจะเห็นภาพแล้วว่า AI ได้เข้ามาเปิดประตูสำหรับยุคใหม่ของการปฏิวัติวงการสุขภาพ และสำหรับอุตสาหกรรมความงาม AI เป็นเครื่องมือที่ดีได้อย่างไร ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ โชติเตชธรรมมณี ได้ยกตัวอย่างการนำ AI เข้ามาเป็นเครื่องมือในอุตสาหกรรมการแพทย์มาระยะหนึ่ง ซึ่งกลุ่มความงาม AI สามารถวิเคราะห์ผิวหนังและการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยการใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายผิวหนัง และการวิเคราะห์ลักษณะของผิว เช่น ความชื้น ความมัน และปัญหาผิวต่าง ๆ

รวมถึงสามารถปรับแต่งการดูแลผิวหน้า ด้วยการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล โดยอุตสาหกรรมความงามสามารถสร้างโปรแกรมการดูแลผิวหน้าที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล ทำให้การดูแลผิวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับแต่ละคนมากขึ้น

สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงาม AI ช่วยในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงามใหม่ ๆ โดยจะวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดสอบผลิตภัณฑ์ และการตอบสนองของผู้ใช้ ทำให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

ส่วนความท้าทายและอนาคต ก็ต้องยอมรับว่า แม้ว่า AI จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์และความงาม แต่ก็ยังมีความท้าทายในหลายด้าน เช่น ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และความแม่นยำในการวิเคราะห์ข้อมูล อนาคตของ AI ในอุตสาหกรรมเหล่านี้จึงต้องพึ่งพาการพัฒนาทางเทคโนโลยี และการกำกับดูแลที่เหมาะสม

กับบทสรุปว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กับการปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า AI สามารถเปลี่ยนแปลงวงการแพทย์ได้จริง และมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น จากการช่วยในการวินิจฉัยโรค การจัดการข้อมูลผู้ป่วย ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงามและการดูแลผิวหน้า

และในอนาคตของ AI ในอุตสาหกรรมเหล่านี้ ยังคงเต็มไปด้วยศักยภาพและความท้าทาย แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า AI จะยังคงเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเหล่านี้ไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งแน่นอน

เขียนและเรียบเรียง : ศิริวรรณ อรรถสุวรรณ , พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ติดตาม Business+ ได้ในช่องทางอื่นๆ ที่ Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS