DigitalNomad

10 เมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Digital Nomad ทั่วโลก ‘เชียงใหม่’ ครองแชมป์จังหวัดในดวงใจคนทำงานทางไกล

ดิจิทัลโนแมด (Digital Nomad) หรือกลุ่มคนที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อทำงานจากที่ไหนก็ได้บนโลก (Work from anywhere) พร้อมทั้งใช้ชีวิตและท่องเที่ยวไปพร้อมกัน ซึ่งเทรนด์การทำงานแบบ Digital Nomad เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในปี 2023 กลุ่มดิจิทัลโนแมดมีมากถึง 35 ล้านคนทั่วโลก สร้างมูลค่าเศรษฐกิจรวมประมาณ 787 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประเทศไทยติดหนึ่งในท็อปลิสต์จุดหมายปลายทางที่ดิจิทัลโนแมดอยากมาใช้ชีวิตและทำงาน

 

แล้วเหล่าดิจิทัลโนแมดเลือกใช้ชีวิตและทำงานที่เมืองไหนบ้าง และเมืองเหล่านั้นต้องมีคุณสมบัติอย่างไรถึงโดนใจเหล่าผู้เร่ร่อนดิจิทัล Business+ จะพาไปสำรวจกัน

จากการศึกษาของ MBO Partners 2022 State of Independence พบว่าปัจจุบันมีแรงงานอเมริกันที่เป็นพวกเร่ร่อนดิจิทัล 16.9 ล้านคน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของชาวดิจิทัลโนแมดทั่วโลก เพิ่มขึ้น 9% จากปี 2021 และเพิ่มขึ้น 131% จากช่วงก่อนเกิดโรคระบาดในปี 2019 หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดทำให้ผู้คนทำงานทางไกลเพิ่มขึ้น

 

มีหลายอาชีพที่สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ เช่น คอนเทนต์ครีเอเตอร์ โปรแกรมเมอร์ นักการตลาด นักออกแบบ และแม้ว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะคลี่คลายลง แต่องค์กรเอกชนจำนวนมากยังอนุญาตให้พนักงานทำงานทางไกลได้ คนเหล่านี้จึงผันตัวเป็น Digital Nomad มากขึ้น

 

การทำงานทางไกล (Remote Work) ของเหล่าดิจิทัลโนแมดต้องอาศัยเทคโนโลยีและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ที่ไหนมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีสถานที่เหมาะสมต่อการทำงาน อย่างเช่น โรงแรม บ้านพัก Co-working Space หรือห้องสมุดสาธารณะ ย่อมเป็นที่ที่กลุ่มผู้เร่ร่อนดิจิทัลต้องการ และที่สำคัญต้องมีค่าครองชีพที่ตํ่าเหมาะสำหรับการพำนักอยู่ในระยะยาว  นอกจากนี้พวกเขายังคำนึงถึงสถานที่ท่องเที่ยวในท้องถิ่นเพื่อเปิดประสบการณ์ ความปลอดภัย และความสะดวกในการขอวีซ่าอีกด้วย

 

ทั้งนี้ รัฐบาลแต่ละประเทศตระหนักดีว่ากลุ่ม Digital Nomad ใช้จ่ายเงินมากกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป และยังสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในท้องถิ่น ด้วยเหตุนี้ กว่า 45 ประเทศจึงได้มีนโยบายวีซ่าที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดเหล่าดิจิทัลโนแมด ในปัจจุบัน มีเพียง 3 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้นที่ให้วีซ่าสำหรับผู้เร่ร่อนดิจิทัลโดยเฉพาะ ได้แก่ มาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซีย

 

โดยวีซ่าสำหรับ Digital Nomad ในประเทศไทยนั้น จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขข้อกำหนดคือ มีรายได้อย่างน้อย 80,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 2,786,400 บาท) ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีประสบการณ์ในการทำงาน 5 ปีขึ้นไป และทำงานให้กับบริษัทที่สร้างรายได้อย่างน้อย 150 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5,222,250,000 บาท) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

 

ด้วยปัจจัยทั้งหมดที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตและท่องเที่ยวของดิจิทัลโนแมดทำให้มีการจัดอันดับเมืองที่เหมาะกับการพักระยะยาวสำหรับผู้เร่ร่อนดิจิทัล โดย Insider เสนอ 10 อันดับจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดสำหรับ Digital Nomad ได้แก่

อันดับที่ 1 ลิสบอน ประเทศโปรตุเกส

ลิสบอนถูกจัดอันดับว่าเป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Digital Nomad มีราคาค่าครองชีพที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับเมืองศูนย์กลางสำหรับดิจิทัลโนแมดอื่น ๆ ในยุโรป อยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน และจุดเด่นของลิสบอนคือ เป็นเมืองที่รุ่มรวยด้วยวัฒนธรรม มีจุดชมวิวที่สวยงาม อาหารอร่อย มีชายหาดสำหรับโต้คลื่น และที่สำคัญมี Co-working space และร้านกาแฟดี ๆ สำหรับนั่งทำงานมากมาย

 

อันดับที่ 2 เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย

เมลเบิร์นเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศออสเตรเลีย และได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับนักศึกษา มีร้านกาแฟพร้อม WiFi อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วเมือง รวมทั้งมีความหลากหลายของผู้คน เชื้อชาติ ทั้งนักเรียนนักศึกษา จึงเป็นสถานที่ที่ดึงดูดดิจิทัลโนแมด

 

อันดับที่ 3 เชียงใหม่ ประเทศไทย

เชียงใหม่ติดอันดับเมืองศูนย์รวมเหล่าดิจิทัลโนแมดมาตลอดหลายปี ด้วยเหตุผลดี ๆ หลายข้อ อย่างเช่น ค่าครองชีพไม่สูง มีอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ประมาณ 25 Mbps อีกทั้ง ยังสามารถท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม วัดวาอาราม และมีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่ยังรอให้ไปสำรวจ แถมยังมี Co-working space และร้านอาหารดี ๆ มากมาย ถือว่าคุ้มค่าสำหรับการมาอยู่ที่เชียงใหม่

 

และยังมีเมืองที่น่าสนใจอย่าง แคงกูและอูบุด บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ บูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ซึ่งจะเห็นได้ว่าศูนย์รวมของเหล่าดิจิทัลโนแมดอยู่ที่ยุโรปและเอเชียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยปัจจัยทางด้านค่าครองชีพ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมทั้งแหล่งท่องเที่ยว เพราะพวกเขาไม่ได้เดินทางมาทำงานอย่างเดียวแต่มาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ด้วย สถานที่ท่องเที่ยว กิจกรรม วัฒนธรรม การกินอยู่จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกเมืองที่จะอยู่ระยะยาว

 

สำหรับประเทศไทย นอกจากเชียงใหม่ที่ติดอันดับเมืองที่ดิจิทัลโนแมดนิยมมา กรุงเทพมหานครก็มักจะติดอันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Digital Nomad เช่นเดียวกัน อาทิ เว็บไซต์ Instant Offices ที่จัดกรุงเทพมหานครเป็นอันดับที่ 2 เมืองที่ดีที่สุดในโลกสำหรับกลุ่ม Digital Nomads ประจำปี 2022

 

โดยพิจารณาปัจจัยด้านต่าง ๆ เช่น ความสามารถในการจับจ่าย สภาพภูมิอากาศ ความเร็วของอินเทอร์เน็ต ทิวทัศน์ และการขนส่ง เป็นต้น ซึ่งกรุงเทพฯ มีอาหารท้องถิ่น มี Street Food ที่ยอดเยี่ยมและหลากหลาย พร้อมด้วยจุดเชื่อมต่อ Wi-Fi กว่า 15,000 แห่ง และที่พักราคาถูก

 

จากข้อมูลของ Airbnb ปีที่ผ่านมาพบว่านักเดินทางสนใจในการพำนักระยะยาวในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ขึ้นแท่นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในการค้นหาที่พักแบบระยะยาวในปี 2565 ประเทศไทยถือว่าเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางชั้นนำของคนทำงานทางไกล และบรรดาดิจิทัลโนแมดทั่วโลกผู้ซึ่งกำลังมองหาสถานที่ที่มีความยืดหยุ่นทั้งในการใช้ชีวิตและการทำงาน

 

กลุ่มดิจิทัลโนแมดมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น นับเป็นโอกาสทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทย ทั้งที่พัก โรงแรม ร้านกาแฟ Co-working space และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง จากข้อมูลพบว่า 23% ของดิจิทัลโนแมดชอบทำงานที่บ้านหรือที่พักมากกว่าที่อื่น 21% ชอบทำงานที่ co-working space เป็นหลัก ในขณะที่ 14% ชอบทำงานในร้านกาแฟมากกว่า และ 6% ชอบทำงานในห้องสมุดสาธารณะ

 

นอกจากนี้ เหล่าดิจิทัลโนแมดยินดีจ่ายเพิ่มเติมสำหรับเกสต์เฮาส์ โฮสเทล หรือโรงแรมที่มีอุปกรณ์ครบครันสำหรับการทำงาน เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและเสถียร โต๊ะและเก้าอี้นั่งสบาย มีปลั๊กไฟ และบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงาน ดังนั้นที่พักที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการทำงานเหล่านี้ก็จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับดิจิทัลโนแมด

 

ซึ่งทาง Airbnb แพลตฟอร์มจองที่พัก ที่เจาะตลาดกลุ่มจองที่พักระยะยาว ได้เสนอฟีเจอร์ที่สามารถให้แขกผู้เข้าพักสามารถเช็กความเร็วของ WiFi ผ่านแอปก่อนทำการจองบ้านพักได้ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตที่มีความเสถียรและมีความเร็วสูงกลายเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มดิจิทัลโนแมด นับเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มจองที่พักอื่น ๆ

 

จากข้อมูลที่ Business+ สำรวจมาสรุปได้ว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่เหล่าดิจิทัลโนแมดต้องการมาพักอาศัยเพื่อทำงานและเดินทางท่องเที่ยว เนื่องจากค่าครองชีพต่ำ เข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ง่าย มีสถานที่ที่เหมาะสำหรับการทำงานทางไกล มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย รุ่มรวยด้วยวัฒนธรรม ซึ่งเป็นจุดเด่นสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศไทยอยู่แล้ว

 

แต่จุดที่จะช่วยส่งเสริมให้ไทยกลายเป็นฮับของผู้เร่ร่อนดิจิทัลอย่างแท้จริงก็คือ สิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้ออำนวยต่อการทำงานทางไกล ทั้งอินเทอร์เน็ต อุปกรณ์ต่าง ๆ ในที่พัก โรงแรม หรือ Co-working space อีกทั้งการที่ภาครัฐมีนโยบายวีซ่าระยะยาว ทั้งหมดนี้ช่วยดึงดูดให้ดิจิทัลโนแมดเข้ามาท่องเที่ยวและทำงานในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น

 

เขียนและเรียบเรียง : สีน้ำ แผ่วฉิมพลี
ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS