CPN พร้อมรบ สยายปีกขยายอาณาจักร

สิ้นปี 2567 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับกรรมการผู้จัดการหญิงคนแรกของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น ซึ่งคือคุณวัลยา จิราธิวัฒน์ หลังจากที่ทำงานกับซีพีเอ็นมานานกว่า 18 ปี โดยเธอประกาศไว้ว่า “เมื่อไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไป เราต้องทรานส์ฟอร์ม เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน แนวคิด รวมทั้งโมเดลการทำธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดต่อไป”

จากคำกล่าวดังกล่าว ทำให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงวิธีทำงานของซีพีเอ็นในรูปแบบใหม่ ด้วยการนำเสนอในแบบฉบับที่เป็น Destination of Lifestyle จาก 3 กลยุทธ์หลัก คือ

1. ผ่านรูปแบบโมเดล Fully-Integrated Mixed Use Developments

2. การพัฒนาโครงการเพื่อทุกไลฟ์สไตล์แห่งอนาคต โดยชูวิถีอัตลักษณ์ของเมือง  (Customer-Centric Design Thinking and Marketing)

3. เน้นการลงทุนกับคู่ค้าในระยะยาว (Tenant-Centric Business Partnership)

คุณวัลยา ให้ข้อมูลว่า ซีพีเอ็น ต้องขยายตัวรอบทุกทิศทาง ด้วยการสร้างเป็นระบบอีโคซิสเต็มส์ที่แข็งแกร่ง เพราะมีการตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปี จากนี้ ซีพีเอ็น ต้องการผลักดันทราฟฟิกในทุกโครงการเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 ล้านคนต่อวัน จากเดิม 1.2 ล้านคน ต่อวัน หรือคิดเป็นการมาใช้บริการ 657 ล้านครั้งต่อปี โดยทิศทางหลักซีพีเอ็น นอกจากปริมาณทราฟฟิก  แต่ก็ต้องโฟกัสกลุ่มนักท่องเที่ยว นักช็อปปิงที่มีคุณภาพและใช้จ่ายสูงมากกว่าเดิม โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง รัสเซีย อินเดีย

จากยุทธศาสตร์ดังกล่าว คุณวัลยากำหนดงบลงทุนรวม 120,000 ล้านบาท โฟกัสใน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่
1. ธุรกิจศูนย์การค้าหรือรีเทล จะพัฒนาเพิ่มอีก 14 โครงการ จากปี 2565 มี 36 โครงการ ใน 24 จังหวัด รวมเป็น 50 โครงการ ภายใน 5 ปีจากนี้

2. ธุรกิจที่พักอาศัย จะพัฒนาเพิ่มอีก 45 โครงการ จากเดิมมี 23 โครงการ รวมเป็น 68 โครงการ

3. ธุรกิจอาคารสำนักงาน จะพัฒนาเพิ่มอีก 3 โครงการ จากเดิมมี 10 โครงการ รวมเป็น 13 โครงการ

4. ธุรกิจโรงแรม จะพัฒนาเพิ่มอีก 35 โครงการ จากเดิมมี 2 โครงการรวมเป็น 37 โครงการ

จะสังเกตุได้ว่า ช่วงหลังนี้ ซีพีเอ็น พยายามกระจายรายได้ให้ 4 เสาหลักมากขึ้น จากเดิมที่เน้นหารายได้จาก ศูนย์การค้า โดยตั้งแต่ปี 2566 สัดส่วนรายได้มากที่สุดคือ 1. ธุรกิจศูนย์การค้า สัดส่วนรายได้ 81%, 2. ธุรกิจโครงการที่อยู่อาศัย สัดส่วนรายได้ 8%, 3. ธุรกิจอาคารสำนักงาน สัดส่วนรายได้ 4%, 4. ธุรกิจโรงแรม สัดส่วนรายได้ 2% ซึ่งเป็นธุรกิจที่แยกกันกับกลุ่มบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) นอกนั้นก็เป็นธุรกิจรอง อาทิ ธุรกิจศูนย์อาหาร สัดส่วนรายได้ 2% และรายได้จากธุรกิจอื่น ๆ 3% โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัย ที่มีทั้งอาคารคอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร ซีพีเอ็นจะผลักดันให้เป็นขาหลักที่สอง ด้วยรายได้ของกลุ่มนี้ถึงระดับหมื่นล้านบาท ภายในปี 2569 จากปี 2566 ที่มีประมาณ 5,500 ล้านบาท หรือเติบโตมากถึง 22% ส่วนโรงแรมก็ไม่น้อยหน้ากับเป้าหมายเพิ่มมากถึง 35 โครงการใหม่ แน่นอนว่า เป้าประสงค์ก็เพื่อสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ที่หลากหลายมากขึ้นนั่นเอง

และที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ความท้าทายของซีพีเอ็นและวัลยาในปี 2568 ต้องจับตาดูว่า กลยุทธ์เชิงรุกจะทำได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนการรุกเมกะมิกซ์ยูส ซึ่งเป็นโมเดลที่ต้องการยกระดับให้เหมือนมหานครใหญ่ในต่างประเทศ อย่างเช่น นิวยอร์ก ลอนดอน โตเกียว ซึ่งจะเป็นเทรนด์ใหม่ของธุรกิจที่คุณวัลยามองว่า สามารถตอบรับไลฟ์สไตล์และตอบโจทย์ชีวิตความเป็นอยู่ของคนยุคใหม่ และตรงตามโจทย์ที่ทางซีพีเอ็นประเมินไว้ นั่นเพราะว่า ไลฟ์สไตล์คนเมืองรุ่นใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่มาช็อปปิงเท่านั้น แต่คือการมาใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง

โดยเฉพาะกับโครงการขนาดใหญ่อย่าง เซ็นทรัล ดุสิต พาร์ค บนถนนสีลม ด้วยมูลค่ามากกว่า 50,000 ล้านบาท ที่ร่วมลงทุนกับทางกลุ่มดุสิตธานี ซึ่งทางซีพีเอ็นมีเป้าหมายที่จะเปิดตัวโครงการเมกะมิกซ์ยูส ปีละโครงการ
ส่วนโครงการเก่า ๆ ที่จะมีการรีโนเวต ซึ่งบางแห่งสามารถแปลงเป็นเมกะมิกซ์ยูสได้ก็จะทำ อาทิ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ ที่อยู่ระหว่างการรื้อและรีโนเวตครั้งใหญ่ใหม่หมด

ทั้งนี้ปี 2567 ที่ผ่านมา ซีพีเอ็น เปิดศูนย์การค้าใหม่ประมาณ 5 แห่ง คือ เซ็นทรัล นครสวรรค์, เซ็นทรัลนครปฐม เป็นมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ เพื่อหวังยกระดับศักยภาพของภูมิภาค เชื่อมต่อโซนภาคเหนือ และขยายสู่ภาคตะวันตกของประเทศ, เซ็นทรัลจันทบุรี เป็นมิกซ์ยูส, เซ็นทรัลศรีราชา เป็นมิกซ์ยูส, เซ็นทรัล กระบี่ เป็นมิกซ์ยูสเมืองท่องเที่ยว เป็นต้น โดยข้อมูลจากซีพีเอ็น ระบุว่า สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 ซีพีเอ็น มีศูนย์การค้าภายใต้การบริหารงานทั้งหมด 42 โครงการ นอกจากนี้ ยังบริหารศูนย์อาหาร 36 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 9 แห่ง โครงการที่พักอาศัย 37 โครงการ

ทั้งหมดจะเห็นได้ว่า คุณวัลยา ได้วางยุทธศาสตร์ใหม่ให้กับซีพีเอ็น เพื่อจะสร้างประสบการณ์การช็อปปิงในรูปแบบที่หลากหลาย ซึ่งหากมองในภาพรวม การบริหารจัดการของเธอถือว่าเป็นไปด้วยดี ทั้งในแง่การลงทุน การปรับตัว และผลประกอบการดยรวม

ในปี 2565 เป็นปีแรกที่เธอคุมทัพกับเก้าอี้ซีอีโอ ทำรายได้รวม 37,155 ล้านบาท สามารถจะพลิกฟื้นกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิด Covid-19 โดยเติบโต 28% และมีกำไรสุทธิ 10,759.88 ล้านบาท เติบโต 51% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,148.45 ล้านบาท

ขณะที่ปี 2566 ก็เป็นปีที่ทุบสถิติอีก ด้วยการทำรายได้รวมและมีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมานานกว่า 40 ปี ด้วยรายได้รวม 46,790 ล้านบาท เติบโต26% และกำไรสุทธิ 15,062 ล้านบาท เติบโต 40% จากปีก่อนหน้า

ส่วนปี 2567 นี้ ช่วง 9 เดือนแรกของปี 67 มีกำไรสุทธิ 12,835 ล้านบาท เมื่อเทียบกับนำผลการดำเนินงาน 9 เดือน ปี 66 มีกำไรสุทธิ 11,085 ล้านบาท

ในปีนี้เชื่อว่า ซีพีเอ็น จะเร่งปูพรมเครือข่ายธุรกิจ จนก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดศูนย์การค้า แต่ความท้าทายที่รออยู่คือ  การสร้าง Big Change บนเป้าหมายก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดเมกะมิกซ์ยูส และผู้นำเซกเมนต์คอมมูนิตี้มอลล์ ให้ได้

 

เขียนและเรียบเรียง : เกรียงศักดิ์ เชน

ติดตาม Business+ : https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

Youtube : https://www.youtube.com/@thebusinessplus7829

#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus #Business