The Business Plus บิสิเนสพลัส
ต้นปี 2567 ราคาโกโก้ในตลาดโลกพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กลางปี 2566 ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบ 13 ปีมาแล้ว ซึ่งราคาที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่องนี้ เกิดจากการที่ผู้ผลิตโกโก้รายใหญ่ของโลกอย่างไอวอรีโคสต์ และกานาประสบปัญหาภัยแล้ง จึงทำให้ราคาสัญญาโกโก้พุ่งขึ้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ก.พ.2567 ที่ผ่านมาราคาพุ่งขึ้นไปกว่า 1,000 ดอลลาร์ หรือราว 40% นับตั้งแต่ต้นปี 2567 แตะระดับ 5,874 ดอลลาร์/ตัน ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
โดยพบข้อมูลว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาโกโก้ในตลาดโลกพุ่งสูงเกิดจากสภาพอากาศแปรปรวนจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่กำลังส่งผลให้ภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกเผชิญอากาศที่แห้งแล้งมากขึ้น และสร้างความเสียหายต่อผลผลิตโกโก้ในประเทศกานาและไอวอรีโคสต์ ซึ่งเป็นสองประเทศผู้ผลิตโกโก้รายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งผลกระทบนี้จะไม่ใช่เพียงแค่ระยะสั้น เพราะนักวิเคราะห์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์จากบริษัททีดี แอสเซต แมเนจเมนต์ ได้ออกมาวิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมีแนวโน้มที่จะทำให้ผลผลิตโกโก้ลดลงอย่างถาวร สวนทางกับความต้องการในตลาด เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีเทรนด์ธุรกิจร้านคาเฟ่ ขนมหวาน ช็อกโกแลตพรีเมียม เพิ่มสูงขึ้นความต้องการโกโก้จึงสูงตาม
ดังนั้น เมื่อผลผลิตโกโก้ลดลงแต่ความต้องการยังคงสูงขึ้นก็ทำให้ราคาโกโก้จะยิ่งพุ่งขึ้น สำหรับผู้ประกอบธุรกิจผลิตช็อกโกแลต และเครื่องดื่มโกโก้แล้วก็จะมีกำไรน้อยลงหากไม่ขึ้นราคาขาย แต่หากขึ้นราคาก็อาจจะทำให้ยอดขายตกลงตามไปด้วย โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว กำลังซื้อยังชะลอตัว ผู้คนมักจะเลือกใช้สอยของฟุ่มเฟือยลดลง
อย่างที่เราเห็นได้ชัดเจนจากผลกระทบของ บริษัท เฮอร์ชีย์ (Hershey) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตช็อกโกแลตรายใหญ่ในสหรัฐ ซึ่งในช่วงปี 2566 รายได้ในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 349 ล้านดอลลาร์ ลดลงเกือบ 12% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2565 ขณะที่ยังถูกคาดการณ์ว่า ผลประกอบการของเฮอร์ชีย์มีแนวโน้มซบเซาในปีนี้ เนื่องจากราคาโกโก้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายช็อกโกแลต
ดังนั้นจึงเป็นที่น่าจับตา มองว่า เมื่อราคาโกโก้ในตลาดโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตช็อกโกแลต และเครื่องดื่มโกโก้ จะมีผู้ผลิตอีกหลายรายออกมาปรับขึ้นราคาสินค้า และทำให้ราคาสินค้าในตลาดให้แพงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึง
ที่มา : IQ
