บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 2,204 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนของปี 67 (สิ้นสุด 31 ธ.ค.67) จากเดิมขาดทุนสุทธิ 5,277 ล้านบาทในปี 66 ซึ่งสาเหตุหลักที่ BTS พลิกฟื้นกลับมามีกำไรได้นั้น มาจากการที่ไตรมาสล่าสุดบริษัทฯได้รวมรายได้จากการเปลี่ยนสถานะของ 2 บริษัท นั่นคือ
- บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ RABBIT
- บริษัท ร็อคเทค โกลบอล จำกัด (มหาชน) ROCTEC
ซึ่งทำให้ทั้ง 2 บริษัทนี้กลายมาเป็นบริษัทย่อยของ บีทีเอส กรุ๊ป และบริษัทฯรวมรายได้เข้ามาเพิ่มจากการเปลี่ยนแปลงนี้ 1,480 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 นอกจากนี้ยังมีการบันทึกกำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจำนวน 3,442 ล้านบาท จากการเปลี่ยน สถานะของ RABBIT และ ROCTEC มาเป็นบริษัทย่อยอีกด้วย
อย่างไรก็ตามหากมองที่การทำธุรกิจหลักแล้ว BTS ยังมีรายได้จากการบริการและการขายเพิ่มสูงขึ้น ส่วนใหญ่มาจากการรับรู้รายได้ค่าโดยสารจากรถไฟฟ้าสายสีชมพูสายหลักและสายสีเหลือง รวมถึงรายได้ จากการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) ที่เพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ถึงแม้ว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ BTS พลิกฟื้นกลับมามีกำไรจะเกิดจากการบันทึกกำไรเพียงครั้งเดียว แต่เมื่อเราดูผลประกอบการของบริษัทร่วม และบริษัทที่ BTS เข้าไปถือหุ้นก็พบว่าบริษัทที่เป็น จำกัด (มหาชน) นั้น มีผลงานที่ดีขึ้นทุกบริษัท
ทีนี้มาดูผลงานของบริษัทที่ BTS ถือหุ้นและจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นไทยกันว่ามีผลงานเป็นอย่างไรในช่วงที่ผ่านมา
บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ซึ่ง BTS ถือหุ้น 57.10% ทำธุรกิจสื่อโฆษณา และบริการด้านดิจิทัล พลิกกำไรสุทธิ 448.56 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้วขาดทุนสุทธิ 3,539.82 ล้านบาท
บริษัท ร็อคเทค โกลบอล จำกัด (มหาชน) ROCTEC ซึ่ง BTS ถือหุ้นผ่าน บลจ. เมธา จำกัด 14.29% ทำธุรกิจให้บริการโซลูชั่นส์ระบบการสื่อสารในอุตสาหกรรมขนส่งทางราง ระบบโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 67 อยู่ที่ 238.25 ล้านบาท เติบโต 43% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 166.53 ล้านบาท
บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ RABBIT ซึ่ง BTS ถือหุ้นโดยตรง 8.42% และถือผ่านบลจ. เมธา จำกัด 19.87% ทำธุรกิจให้บริการทางการเงิน พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ งบปี 2567 ขาดทุนลดลงเหลือ 903.61 ล้านบาท จากปี 2566 ขาดทุน 4,383.86 ล้านบาท
บริษัท ซุปเปอร์ เทอร์เทิล จำกัด (มหาชน) หรือ TURTLE ซึ่ง BTS ถือหุ้นทางอ้อมผ่าน บริษัท พอยท์ ออฟ วิว (พีโอวี) มีเดีย กรุ๊ป จำกัด คิดเป็น 73.32% ทำธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจให้เช่าพื้นที่ และธุรกิจสิ่งพิมพ์ ในช่วง 9 เดือนมีผลขาดทุนลดลงมาที่ 202.12 ล้านบาท จากเดิมขาดทุน 228.18 ล้านบาท
ส่วน บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หุ้น TNL ซึ่ง BTS ถือหุ้น 35.88% ทำธุรกิจให้สินเชื่อ และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ประกาศผลการดำเนินงานออกมา
อย่างไรก็ตามล่าสุดวันที่ 24 ก.พ. KEX ที่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นอยู่ 37,146,200 หุ้น หรือ 2.13% ได้ประกาศผลการดำเนินงานออกมา โดยในปี 2567 ขาดทุนไป 5,911 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่าจากทั้ง 5 บริษัทนั้น บริษัทย่อยของ BTS ทั้งหมด 4 บริษัทมีผลการดำเนินงานไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งการที่ BTS เข้าถือหุ้นเกิน 50% ขึ้นไปอย่าง VGI มีสถานะบริษัทย่อยของ BTS ซึ่งจะมีการรวมงบการเงินเข้าด้วยกันทั้งงบดุล และงบกำไรขาดทุน ดังนั้น บริย่อยมีผลงานที่ดีก็ส่งผลดีต่อบริษัทโฮลดิ้งโดยตรง
ส่วน ROCTEC และ RABBIT ถึงแม้ BTS ถือไม่เกิน 50% แต่ BTS มีอำนาจในการควบคุมกิจการก็จัดอยู่ในบริษัทย่อย (ล่าสุดที่เปลี่ยนสถานะของ 2 บริษัทมาเป็นบริษัทย่อย) ก็ทำให้มีการรวมงบการเงินเข้าด้วยกันทั้งงบดุล และงบกำไรขาดทุนเช่นกัน
ส่วนบริษัทอื่นที่ BTS ถือหุ้นมากกว่า 20 เป็นบริษัทร่วมซึ่งบริษัทฯ จะได้รับส่วนแบ่งกำไร หรือขาดทุนตามสัดส่วนที่เข้าถือหุ้น ดังนั้น การที่บริษัทร่วมเหล่านี้มีกำไร หรือขาดทุนน้อยลงก็จะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทโฮลดิ้งอย่าง BTS นั่นเอง
และบริษัทที่ BTS ถือหุ้นต่ำกว่า 20% และอยู่ในตลาดหุ้นก็จะถูกบันทึกเป็นเงินลงทุนสุทธิในงบดุล ซึ่งจะมีการบันทึกเงินลงทุนตามราคาหุ้นบนกระดาน แบบเพื่อค้าโดยส่วนต่างของราคาหุ้นที่ขึ้นลงก็จะมีผลต่อกำไรของบริษัทหากทำการขายเงินลงทุนออกมา นอกจากนี้ถ้าบริษัทที่เข้าลงทุนจ่ายปันผล ทาง BTS ก็จะได้รับเป็นรายได้
นอกจากบริษัทในตลาดหุ้นแล้ว ปัจจุบัน BTS ขยายไปยังหลากหลายธุรกิจด้วยการลงทุนในหลากหลายบริษัท ซึ่งธุรกิจในปัจจุบันประกอบไปด้วย ธุรกิจระบบขนส่งมวลชนทางราง การบริการด้าน Offline-to-Online (O2O) โซลูชั่นส์ และด้านข้อมูลบริการทางการเงิน อสังหาริมทรัพย์ อาหาร ก่อสร้าง และยังมีการลงทุนในธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย โดยเราพบบริษัทที่อยู่ในเครือของ BTS มากถึง 94 บริษัทเลยทีเดียว