‘กสิกร’ มองงบ ‘กลุ่มแบงก์’ ปีนี้สดใส คาด 9M/66 โตเฉียด 2 แสนล้าน

เริ่มเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) งวดผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน โดยกลุ่มแรกที่จะประกาศออกมานั้นจะเป็น ‘กลุ่มธนาคาร’ ซึ่งผลประกอบการของกลุ่มธนาคารงวด 9 เดือนปี 2565 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 159,609 ล้านบาท เติบโต 13.57% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่อยู่ระดับ 140,536 ล้านบาท นับเป็นการเติบโตที่ยังมั่นคง มาจากธนาคารส่วนใหญ่มีรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และมีการตั้งสำรองหนี้ที่ลดลง

ทั้งนี้ทาง ‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ ได้มีการคาดการณ์ถึงภาพรวมผลงานไตรมาส 3/2566 และงวด 9 เดือนของปี 2566 ว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ที่ปรับสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยหนุนส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin: NIM) ของระบบแบงก์ไทยให้ขยับขึ้นมาอยู่ในกรอบ 3.14-3.18% ในไตรมาส 3/2566 แต่คงต้องยอมรับว่า ต้นทุนการระดมเงินฝากก็อาจขยับสูงขึ้นในไตรมาส 3/2566 ด้วยเช่นกัน

สำหรับในด้านสินเชื่อ คาดว่า สินเชื่อยังเติบโตในกรอบต่ำที่ 0.1-0.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาส 3/2566 ขณะที่การปรับสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในระหว่างไตรมาส ก็อาจมีผลกระทบต่อการบันทึกมูลค่าตามราคาตลาดของสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนของธนาคารพาณิชย์ และเมื่อรวมผลของปัจจัยนี้เข้ากับภาพรวมรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่ยังชะลอตัว ก็อาจทำให้รายได้ในส่วนที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาส 3/2566 มีทิศทางชะลอลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2566 ที่ผ่านมา

ภายใต้สถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่แนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน ทำให้การดูแลคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อยังคงเป็นโจทย์ต่อเนื่องที่สำคัญของธนาคารพาณิชย์ โดยในไตรมาส 3/2566 ยังคงเห็นธนาคารพาณิชย์ติดตามและประเมินความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ ช่วยลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้ ควบคู่กับการเร่งจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ (NPLs) เพื่อรักษาระดับ NPLs และลดแรงกดดันต่อค่าใช้จ่ายในการกันสำรองฯ

จากภาพดังกล่าวทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สัดส่วน NPLs ของระบบธนาคารพาณิชย์ อาจทรงตัวหรือมีโอกาสปรับตัวลงเล็กน้อยมาอยู่ในกรอบ 2.63-2.67% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 3/2566 ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองฯ ต่อสินเชื่อ (Credit Cost) อาจลดลงเล็กน้อยมาอยู่ในกรอบ 1.25-1.29% ในไตรมาส 3/2566 แต่ก็ยังนับเป็น Credit Cost ที่สูงกว่าในช่วงสถานการณ์ปกติ

สำหรับกำไรสุทธิของระบบแบงก์ไทย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 คาดว่า น่าจะทำได้ในกรอบประมาณ 1.86-1.91 แสนล้านบาท ขณะที่คาดว่ารายได้จากดอกเบี้ยสุทธิยังน่าจะเติบโตต่อเนื่อง และเป็นแรงหนุนสำคัญของผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 เพราะ NIM ของระบบแบงก์ไทยยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ดีการประคองผลการดำเนินงานท่ามกลางความไม่แน่นอนของทิศทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศยังคงเป็นโจทย์ที่กระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ต้องเร่งปรับตัว ดังนั้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 จะยังคงเห็นความพยายามของธนาคารพาณิชย์ในการจัดการปัญหา NPLs พร้อม ๆ กับการเตรียมสภาพคล่องเพื่อพร้อมรองรับความต้องการใช้สภาพคล่องในระบบที่อาจเพิ่มขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

รวมไปถึงการดูแลให้การเติบโตของเงินฝากสอดคล้องกับสัญญาณสินเชื่อ โดยอาจมีการออกแคมเปญเงินฝากประจำพิเศษต่อเนื่องเพื่อระดมสภาพคล่อง และแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ เพื่อเป็นตัวเลือกของผู้ฝากเงินในช่วงปลายปี นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์คงต้องเตรียมปรับตัวเพื่อรับมือกับเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี 2567 ด้วยเช่นกัน

.

ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

.

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.facebook.com/businessplusonline/

Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.thailand/

.

#Businessplus #thebusinessplus #นิตยสารBusinessplus #ศูนย์วิจัยกสิกรไทย #ธนาคาร #งบแบงก์ #กลุ่มธนาคาร