Apple ถูกมองว่าเป็นแบรนด์ที่ถดถอย หลังจากยอดขาย iPhone ทั่วโลกลดลงจนทำให้ส่วนแบ่งการตลาดหดตัวสวนทางกับแบรนด์อื่น สาเหตุหลักมาจากกฎ “ห้ามใช้แบรนด์ต่างชาติในประเทศจีน” ซึ่งเป็นตลาดสำคัญติด 1 ใน 3 ของ Apple และจุดอ่อนของ iPhone ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาคือการไม่มีฟีเจอร์ AI ซึ่งต่างจากคู่แข่งรายอื่นที่นำหน้าไปนานแล้ว จึงทำให้คนใช้ iPhone รู้สึกว่ายังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนรุ่นใหม่ ดังนั้น รายได้ของบริษัทฯ จึงลดลงต่อเนื่องติดต่อกันหลายไตรมาสจนในบางช่วงมูลค่าบริษัทของ Apple ที่เคยเป็นเบอร์ 1 กลับถูกไมโครซอฟ์ หรือ เอ็นวีเดียร์ขึ้นแซงหน้า
รายได้ Apple ในช่วง 11 ไตรมาสล่าสุด
จากข้อมูลรายได้ของ Apple หากเทียบเป็นรายไตรมาสของแต่ละปีกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) จะเห็นได้ว่า เทรนด์ยอดขายของ Apple อยู่ในช่วงขาลงมาตั้งแต่ไตรมาส 1/2022 กินเวลายาวกว่า 2 ปี ถึงจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3/2024 ซึ่งปัญหาหลัก ๆ ที่ Apple เผชิญ
มี 3 เรื่องหลัก นั่นคือ
- การถูกบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่รายอื่น รวมถึงคู่แข่งค่ายมือถือแซงหน้าในฟีเจอร์ AI อย่างเช่นคู่แข่งโดยตรงในตลาด Smart Phone พรีเมียมอย่าง Samsung ก็เปิดตัว Galaxy AI ตั้งแต่ต้นปี 2024 จนทำให้ส่วนแบ่งการตลาด Smart Phone ของ Apple ถูก Samsung พลิกกลับมา
แซงหน้าในช่วงไตรมาส 1/2024 จากเดิมมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ที่ 24.7% ร่วงลงมาเป็นอันดับ 2 ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลงเหลือ 17.3% สวนทางกับ Samsung , Xiaomi และ Oppo ที่ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งภายหลังจากนั้นมา Apple ก็ยังไม่สามารถแซงหน้า Samsung ได้อีกจนถึงปัจจุบัน - ยอดขาย Apple ลดลงเกือบทุกภูมิภาค โดยเฉพาะยอดขายในจีนที่ไตรมาส 2/2024 ลดลง 8.08% จาก 17,812 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลือเพียง 16,732 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยปัจจัยเกิดจากการที่ตลาด Smart Phone ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างจีน มีนโยบายห้ามพนักงานใช้ Smart Phone ต่างชาติ (รวมทั้ง Apple และ Samsung ตามการรายงานของ Bloomberg) ทำให้คนจีนต้องใช้แบรนด์ในประเทศแทน ซึ่งแบรนด์เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Xiaomi, Vivo หรือ Oppo ในปัจจุบันก็มีประสิทธิภาพและฟีเจอร์ที่เทียบเคียง iPhone (หรือบางรุ่นอาจมีฟีเจอร์ที่สูงกว่า) แถมยังมีราคาที่ต่ำกว่าจนทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของ Apple นั้นลดลงไป
ส่วนแบ่งการตลาด Smart Phone โลกในไตรมาส 2/2024
- ประเด็นเรื่องการฟ้องร้องของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ จากข้อหาการผูกขาดด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์บน iPhone และ iPad ซึ่งถูกมองว่าเป็นการกีดกันให้ผู้ผลิตรายอื่นแข่งขันในตลาดยากขึ้น ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงช่วงการพิจารณาคดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่แบรนด์มีข้อฟ้องร้องกับกระทรวงยุติธรรมอาจเป็นปัจจัยกดดันที่ในอนาคตอาจส่งผลต่อการออกฟีเจอร์ใหม่ ๆ หรือเป็นข้อจำกัดของ Apple ในการพัฒนาด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ในอนาคต
รอวันฟื้นตัวด้วยการปิดจุดอ่อนด้าน Ai และแผนฟื้นยอดขายในจีน
ถึงแม้ Apple จะมีปัญหาอยู่หลายด้านในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ในไตรมาสล่าสุดได้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยบริษัทฯ มีรายได้ไตรมาส 3 ปี 2024 (สิ้นสุดมิถุนายน 2024) จำนวน 85,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ถือว่าเป็นการพลิกกลับมามีรายได้เพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังชะลอตัวหลายไตรมาสติดต่อกัน
และเมื่อเจาะเพียงยอดขาย iPhone อย่างเดียว มีรายได้ 39,296 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเพียง 0.9% เท่านั้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ที่ยอดขาย iPhone หดตัวเกิน 10%
นอกจากนี้ เมื่อแยกยอดขายตามประเทศในไตรมาส ล่าสุดจะเห็นว่า มีเพียงยอดขายในประเทศจีนเท่านั้นที่ยังลดลง แต่ประเทศที่เป็นตลาดหลักของ Apple อื่น ๆ มียอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งหมด แตกต่างกับไตรมาสก่อนหน้านี้ที่ยอดขายลดลงเกือบทุกประเทศ ยกเว้นยุโรป
ยอดขายแยกตามประเทศ (ไตรมาส 3/2024)
– จีน 14,728 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 6.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่น่าสนใจคือ ยอดขายในประเทศจีนไตรมาสนี้ลดลงไปเพียง 6% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ที่ลดลงราว 8% ดังนั้นจึงถือว่า Apple สามารถตีตื้นขึ้นมาได้ ซึ่งเกิดจากการที่ Apple เลือกที่จะขยายธุรกิจในจีนต่อเนื่อง ด้วยการเปิดสาขาใหม่ใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนมีนาคม 2024
ทำให้เห็นว่าบริษัทฯ ยังมองว่า จีนยังคงเป็นตลาดสำคัญ เพราะมีฐานผู้บริโภค Smart Phone ใหญ่ที่สุดในโลก และมีสัดส่วนรายได้เป็นอันดับที่ 3 (17%) รองจากอเมริกา (42%) และยุโรป (25%) ขณะที่ในจีนสินค้าแบรนด์ Apple ประเภทอื่น ๆ นอกเหนือจาก iPhone ยังคงมีศักยภาพการขยายตัวที่ดี
ทั้งนี้ เป็นที่น่าจับตามองว่า หลัง Apple ปิดจุดอ่อนทั้ง 2 ด้านแล้ว จะสามารถกลับมาฟื้นคืนรายได้อีกครั้งตามที่ ‘ทิม คุก’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Apple เคยแถลงข่าวเอาไว้หรือไม่? ว่าฟีเจอร์ Generative AI รุ่นใหม่จะช่วยเพิ่มยอดขายฮาร์ดแวร์ให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี
โดยเรามองว่าการมาของ iPhone16 พร้อมฟีเจอร์ Ai (Apple Intelligence) จะทำให้การเปิดตัวสินค้าใหม่ครั้งนี้กลับมาสร้างความตื่นเต้น และกระตุ้น Demand ของ iPhone ได้อีกครั้ง เพราะ Apple ยังคงมี Brand Loyalty สูงที่สุดของโลก
นอกจากนี้เทรนด์การใช้ Smart Phone ทั่วโลกที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง และ iPhone ยังคงเป็นเบอร์ 1 ตลาด Smart Phone พรีเมียม ประกอบกับการอัพเกรดครั้งใหญ่นี้มาพร้อมกับราคาเปิดตัวที่ต่ำกว่า iPhone15 ถึง 3,000 บาท (ราคาเริ่มต้น) จะผลักดันให้รายได้ของบริษัทฯ เติบโตตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป และการที่รายได้บริษัทพุ่งสูงขึ้นก็จะส่งผลดีต่อมูลค่าบริษัท (Market Cap) ซึ่งจะทำให้ตำแหน่งเบอร์ 1 ของโลกมั่นคงขึ้น
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ที่มา : Statista , Apple ,Macstories