ปัจจุบันผู้บริโภคมีการแสวงหาแหล่งท่องเที่ยวในหลากหลายรูปแบบ ทั้งในเชิงแหล่งธรรมชาติ วัฒนธรรม รวมทั้งการท่องเที่ยวแบบผจญภัย เป็นต้น ซึ่งปัจจัยสำคัญของการท่องเที่ยวก็คือ ‘เงิน’ โดยบางกลุ่มทริปก็จะเน้นประหยัดเพียงแค่อยากไปลองสิ่งใหม่ ๆ หรือ บางกลุ่มอาจจะเน้นกินป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีการสำรวจค่าครองชีพของแต่ละประเทศเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย
โดยหากพูดถึงประเทศที่นักท่องเที่ยวยังคงมาเยือนเป็นจำนวนมาก ‘ประเทศไทย’ ก็ยังเป็นจุดหมายที่ทุกคนให้ความสนใจ เนื่องจากการเดินทางมีความสะดวกสบาย และค่าครองชีพไม่ได้แพงมากนักหากเปรียบเทียบกับโซนยุโรป ซึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ก็คือ นวดแผนไทย อาหารไทย พักผ่อน และท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เช่น การเยี่ยมชมวัดไทย
สำหรับในปีที่ผ่านมาไทยคว้าอันดับหนึ่งเมืองที่น่าอยู่ และเกาะที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากเว็บไซต์ท่องเที่ยว Travel + Leisure นับเป็นการการันตีถึงความยอดนิยมของไทย ซึ่งภาคการท่องเที่ยวของไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ดีหลังผ่านพ้นสถานการณ์ COVID-19
แต่ล่าสุด ‘อโกด้า’ (Agoda) เว็บไซต์ท่องเที่ยวและจองที่พัก ระบุว่า ภาคการท่องเที่ยวของเวียดนามนั้นกำลังเติบโตแซงหน้าไทย แต่ไทยยังสามารถรักษาความได้เปรียบได้ด้วยการลดข้อจำกัดด้านวีซ่า การเปิดเส้นทางเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้น และกระตุ้นการเดินทางด้านธุรกิจ
ทั้งนี้เวียดนามมีสัดส่วนการเดินทางขาเข้าเพิ่มมากขึ้นในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ทำให้ติดอันดับ 3 ในกลุ่มจุดหมายปลายทางการเดินทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นรองเพียงแค่ญี่ปุ่นและไทย และขยับขึ้นจากอันดับ 5 ในปี 2562 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19
ขณะที่สำนักข่าวนิกเกอิเอเชีย ระบุว่า เดิมทีไทยติดอันดับหนึ่งเมื่อปี 2565 ในการจัดอันดับของอโกด้า แต่ถูกญี่ปุ่นแซงหน้าไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ญี่ปุ่นเปิดพรมแดนในเดือนตุลาคม
สำหรับปี 2566 ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติกว่า 11 ล้านราย ซึ่งสูงกว่าสถิติที่ทำไว้ในปี 2565 โดยไทยมีภารกิจที่จะต้องรักษาระดับการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว หลังจากการเดินทางขาเข้า การเดินทางขาออก และการเดินทางภายในประเทศฟื้นตัวแล้ว โดยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของปี 2562
โดยจากผลการสำรวจภาคการท่องเที่ยวของเวียดนามมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวกลับสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19 ในปี 2568 ซึ่งปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้เดินทางไปเวียดนามมากขึ้น เนื่องจากการเปิดโรงงานเกาหลีใต้ในเวียดนามเมื่อ 2 ทศวรรษที่ผ่านมาได้สร้างชุมชนชาวเกาหลีใต้ในเวียดนาม จนเกิดการโฆษณาประเทศเวียดนามแบบปากต่อปาก
ทั้งนี้ ‘Business+’ ได้ลองวิเคราะห์กลยุทธ์ที่เวียดนามจะดันภาคท่องเที่ยวให้เติบโตแซงหน้าไทยและญี่ปุ่นได้นั้น มีอยู่ 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้
- การพัฒนาอุตสาหกรรม เนื่องมาจากในอดีตเวียดนามเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก ก่อนจะค่อย ๆ มีการปฏิรูปเพิ่มบทบาทเอกชนกระจายอำนาจแก่ภาคธุรกิจและท้องถิ่น ทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมมีการขยายตัวและพัฒนาเป็นอย่างมาก ปัจจุบันมีบริษัทระดับโลกที่ตั้งฐานการผลิตในเวียดนาม อาทิ LG, Sharp และ Intel เป็นต้น
- การประชาสัมพันธ์ เนื่องจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ผู้คนส่วนใหญ่จะอยู่บนโลกออนไลน์เป็นหลัก และก่อนการท่องเที่ยวจะมีการค้นหาแหล่งท่องเที่ยว หรือ สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจก่อนเสมอ ซึ่งการประชาสัมพันธ์จะต้องมีการเน้นออนไลน์ที่มากขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของเวียดนาม
- การกระตุ้นการลงทุน นั่นเป็นเพราะว่า ถ้ามีการลงทุนทำธุรกิจในประเทศมากขึ้น ผู้คนก็จะเดินทางเข้ามามากเท่านั้น และบ่งบอกถึงสภาพเศรษฐกิจมีการขับเคลื่อนอยู่ตลอดเวลา
สุดท้ายนี้หากไทยมีการพัฒนาภาคการท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ และมีการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวจนเกิดความประทับใจ สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้ไทยยังคงสามารถที่จะรักษาตำแหน่งประเทศที่น่าท่องเที่ยวได้ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็จะเติบโต ซึ่งการที่จะเติบโตได้นั้นต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่ายไม่เพียงแต่ภาครัฐเท่านั้น แต่รวมถึงผู้ประกอบการ ประชาชนด้วย
.
ที่มา : IQ
.
เขียนและเรียบเรียง : ศิริวรรณ อรรถสุวรรณ