หนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตก็คือ ดาต้าเซ็นเตอร์ โดยที่ผ่านมาก็มีบริษัทหลายแห่งลงทุนตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยจนปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 55 แห่ง

ในปี 2023 รายได้รวม ของอุตสาหกรรมดาต้าเซนเตอร์ในไทยอยู่ที่ 74,800 ล้านบาท ขณะที่รายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจโครงสร้างเครือข่าย ที่เปรียบเสมือนตัวกลางเชื่อมโยงดาต้าเซ็นเตอร์เข้ากับผู้ใช้งาน จึงได้ประโยชน์จากความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่ รายได้จากธุรกิจระบบจัดเก็บข้อมูลยังคิดเป็นส่วนน้อยที่สุดของภาพรวม แต่ก็คาดว่าจะมีการเติบโตประมาณ 11% – 12% ต่อปีจนถึงปี 2570 จากความต้องการแหล่งเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่เพิ่มขึ้นล้อไปกับความนิยมของ AI
Busniess Crack คราวนี้จะพาไปเจาะข้อมูลธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์แห่งอนาคตในไทย โดยจะพูดถึงเฉพาะธุรกิจกลางน้ำเท่านั้น
ห่วงโซ่คุณค่าอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักแต่ละส่วนของห่วงโซ่คุณค่าอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์กันก่อน
เริ่มแรกคือต้นน้ำที่ประกอบไปด้วยผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน อย่างเช่น ผู้ผลิตไฟฟ้าสำหรับดำเนินการดาต้าเซ็นเตอร์และบริษัทโทรคมนาคมต่าง ๆ และผู้ให้บริการฮาร์ดแวร์ เช่น บริษัทเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ
ต่อมาคือส่วนกลางน้ำ ที่ประกอบไปด้วยผู้ดำเนินการดาต้าเซ็นเตอร์ ที่แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
– Private Data Center ที่บริษัทเป็นเจ้าของและจัดการเองทั้งหมด
– Colocation Data Center ที่ผู้ให้บริการจัดเตรียมสถานที่และโครงสร้างพื้นฐาน แต่ลูกค้านำเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์มาจัดเก็บเองในพื้นที่ที่เช่าไว้
– Public Data Center ที่ผู้ให้บริการเป็นเจ้าของและดูแลทั้งหมด โดยลูกค้าสามารถเช่าทรัพยากรการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้
ถัดมาในส่วนกลางน้ำก็คือ บริษัทผู้ให้บริการเสริมที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ เช่น ผู้ให้บริการคลาวด์และผู้ให้บริการเครือข่าย เป็นต้น โดยบางครั้ง ผู้ดำเนินการดาต้าเซ็นเตอร์ก็อาจให้บริการเสริมเหล่านี้ด้วย
และสุดท้ายก็คือ ส่วนปลายน้ำซึ่งก็คือบริษัทที่ใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และอื่น ๆ เช่น บริษัทอินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์ ที่ก็ขายสินค้าและบริการของบริษัทต่อให้กับผู้บริโภคทั่วไปนั่นเอง
ดาต้าเซ็นเตอร์ ใช้ทุนสร้างสูง มีแต่บริษัทเทคฯ รายใหญ่สนใจ

ดาต้าเซ็นเตอร์รองรับการทำงานของระบบไอทีและแอปพลิเคชันผ่านการประมวลผล จัดเก็บ และส่งข้อมูลไปยังผู้ใช้งาน โดยช่วงที่ผ่านมามีบริษัทต่างชาติมากมายได้เข้ามาลงทุนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยีจากจีนและอเมซอนจากสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ผู้ให้บริการที่มีจำนวนดาต้าเซ็นเตอร์มากที่สุดในไทยก็คือบริษัทโทรคมนาคม โดยอันดับแรกก็คือเครือ AIS ที่บริหารจัดการดาต้าเซ็นเตอร์อยู่ 7 แห่ง รองลงมาคือบมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติและเครือ TRUE ที่มีจำนวนดาต้าเซ็นเตอร์เท่ากันที่ 4 แห่ง
จะเห็นได้ว่าผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์มักจะเป็นบริษัทใหญ่ ที่มีทุนสูง เพราะดาต้าเซ็นเตอร์เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ไม่ว่าจะมาจากค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ และต้นทุนการเช่าพื้นที่ ที่ต้องอยู่ในพื้นที่ที่เข้าถึงลูกค้า และมีไฟฟ้าเสถียร
ผู้ให้บริการเสริม ลงทุนสูงระยะยาว รายได้ส่วนใหญ่เป็น Recurring

ธุรกิจให้บริการเสริมที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับดาต้าเซ็นเตอร์มีรายได้ที่ค่อนข้างมั่นคง เพราะมีรายได้เป็นแบบ Recurring แต่ก็แลกมาด้วยการที่บริษัทมี Capital Expenditure สูงตามไปด้วย เพราะต้องลงทุนพัฒนาซอฟต์แวร์ต่าง ๆ รวมถึงจ้างงานบุคลากรทักษะสูงด้วย
บริษัทที่มีบริการเสริมสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีรายได้สูงสุดในไทยก็คือ บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นกิจการควบรวมทีโอทีและกสท โทรคมนาคม ที่มีรายได้ปีที่แล้ว 85,310 ล้านบาท ขาดทุน -6,059 ล้านบาท และมีสินทรัพย์เป็นมูลค่าสูงถึง 239,984 ล้านบาท
ขณะที่รองลงมาคือ บ. ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ บมจ. ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น และบ. อินเตอร์เนชั่นแนล เกทเวย์ ตามลำดับ
หลายคนไม่น่าจะคุ้นกับชื่อบริษัทเหล่านี้ เพราะส่วนใหญ่จะเน้นให้บริการแบบ B2B ยกเว้นที่บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ ที่ทำหลายธุรกิจ ทำให้อาจผ่านตาหลายคนมาบ้าง แต่ในอนาคตที่ระบบคลาวด์และ AI จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปมากขึ้นนั้น สินค้าและบริการของบริษัทเหล่านี้ก็จะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้อีกต่อไป
ที่มา: LH Bank Business Research, datacentermap.com, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, AWS, SETTRADE, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, Krungsri Research
The Business Plus บิสิเนสพลัส

