ตอนนี้กระแส ‘นมวัวแท้ 100%’ ในประเทศไทยกำลังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอย่างร้อนแรง แต่หนึ่งแบรนด์ที่ยืนหนึ่งเรื่องการกล้าออกมาการันตีมาตลอดว่าเป็นนมวัวแท้ไม่ผสม คือ ‘ไทย-เดนมาร์ค’ นมเจ้าแรกของไทยที่หลายคนรู้จักกับชื่อ ‘นมวัวแดง’ ซึ่งแบรนด์ไทยเดนมาร์คเป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนานกว่า 61 ปี มีทั้งความน่าเชื่อถือและความภักดีต่อแบรนด์ที่ถูกปลูกฝังมานาน
ถึงแม้ตอนนี้จะมีแบรนด์นมวัวมากมายในบ้านเราแต่กลับไม่ได้ทำให้ชื่อของไทย-เดนมาร์คหายไปจากตลาด ยังคงเป็นอันดับท็อป 5 ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดนมวัวพร้อมดื่ม แต่ความน่าสนใจคือ รายได้ที่กำลังลดลงอย่างมหาศาลในทุกๆปี
ก่อนที่เราจะไปวิเคราะห์ในมุมผลประกอบการ เรามาย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของไทย-เดนมาร์คกันก่อน โดยไทย-เดนมาร์ค ก่อตั้งฟาร์มโคนมและศูนย์ฝึกอบรมไทย-เดนมาร์ค ในปีพ.ศ. 2505 ซึ่งเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคนมและผลิตนมเพื่อคนไทย และเริ่มกิจการตั้งแต่ปีพ.ศ. 2507
โดยมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙) และสมเด็จพระเจ้าเฟรดเดอริกที่ ๙ แห่งเดนมาร์ก เสด็จฯ เปิดอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2505 ต่อมาในปี พ.ศ. 2514 ได้โอนกิจการมาเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ซึ่งปัจจุบันดำเนินกิจการทั้งการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นที่รู้จักกันดี ซึ่งผลิตภัณฑ์แรกของไทย-เดนมาร์คคือ นมกล่อง UHT ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์นมกล่องแรกของคนไทยที่วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2519
ซึ่งคุณสมบัติและจุดเด่นของไทย-เดนมาร์ค มาอย่างยาวนาน คือ นมโคสดแท้ 100% ไม่มีการนำนมผงมาผสม ทำให้คงรสชาติและความหอมมันตามธรรมชาติของนมสด และยังเป็นการส่งเสริมเกษตรกรไทย
สำหรับผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันมีหลากหลาย ซึ่งพัฒนาตามพฤติกรรมของคนในแต่ละยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นนม ไทย-เดนมาร์ค ยูเอชทีปราศจากน้ำตาลแลคโตส (Lactose Free) หรือนมไทย-เดนมาร์ค ยูเอชที โอเมก้าพลัส (Omega Plus) ซึ่งทั้งหมดนี้การันตีว่าผลิตจากน้ำนมโคแท้ 100% ไม่ผสมนมผง และจากเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ไม่นิยมสิ่งปรุงแต่งที่เป็นสารเคมี จึงทำให้ชื่อของ ไทย-เดนมาร์ค ยังคงเป็นผู้นำอันดับต้นๆของตลาด
4 ผู้เล่นหลักในตลาดนมพร้อมดื่ม
สำหรับส่วนแบ่งการตลาดนมพร้อมดื่มในปี 2567 อันดับ 1 เป็นของ Meiji อยู่ที่ 15.1% เป็น บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ในประเทศไทยจะเห็นผลิตภัณฑ์ “ซีพี-เมจิ” เพราะเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทเมจิ (ญี่ปุ่น) กับบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ไทย)
อันดับ 2 คือ Foremost อยู่ที่ 13.9% เป็นแบรนด์ภายใต้บริษัทฟรีสแลนด์คัมพิน่า ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์
อันดับ 3 คือ ไทย-เดนมาร์ค อยู่ที่ 13.1% เป็นแบรนด์ของประเทศไทย ซึ่งเดิมทีมีต้นกำเนิดมาจากการร่วมมือกันระหว่างไทยและเดนมาร์ก แต่ปัจจุบันได้ถูกจัดตั้งเป็น รัฐวิสาหกิจของไทย
อันดับ 4 คือ Bear Brand อยู่ที่ 19.1% โดยแบรนด์ “นมตราหมี” เป็นบริษัทสัญชาติสวิสที่เข้ามาตีตลาดในไทยอย่างยาวนานเกิน 88 ปี
(ที่มา : fic.nfi.or.th)
ในมุมของการตลาดเราพบว่า แบรนด์ไทยเดนมาร์คถือเป็น Success Case อันหนึ่งของไทย เพราะไทยเดนมาร์คมีการปรับและพัฒนาผลิตภัณฑ์นม ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาด รวมไปถึงใช้เทคโนโลยีการแพทย์ที่ลึกขึ้น ถึงแม้ผู้บริโภคจะมีข้อมูลด้านสุขภาพใหม่ๆ อยู่เสมอทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค แต่ไทยเดนมาร์คก็เอาอยู่ทุกยุค จึงพูดได้ว่าปัจจัยการเติบโตของนมไทย-เดนมาร์ค เกิดจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้แล้ว ยังสิ่งที่ทำให้แบรนด์ไทย -เดนมาร์ค สามารถครองใจผู้บริโภคได้อย่างยาวนาน คือการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค ด้วยการส่งคุณค่าของอุตสาหกรรมโคนมตั้งแต่ต้นน้ำให้แก่ผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าน้ำนมทุกหยดมาจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศไทย ผ่านกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐานระดับโลก
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเรามาดูผลประกอบการย้อนหลัง 10 ปีล่าสุด ทั้งรายได้และกำไรสุทธิ อาจจะทำให้เห็นว่า จริงๆแล้ว ไทย-เดนมาร์ค ก็อยู่ในช่วงที่ยากลำบาก และท้าทายเป็นอย่างมาก
ผลประกอบการย้อนหลัง 10 ปีล่าสุด
ปี 2558 รายได้ 7,981 ล้านบาท กำไรสุทธิ 238 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้ 8,390.69 ล้านบาท กำไรสุทธิ 219.63 ล้านบาท
ปี 2560 รายได้ 9,143.48 ล้านบาท กำไรสุทธิ 221.51 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้ 9,639.46 ล้านบาท กำไรสุทธิ 231.86 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 10,127.88 ล้านบาท กำไรสุทธิ 201.30 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 9,652.25 ล้านบาท กำไรสุทธิ 9.28 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 9,725.60 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 110.70 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 8,792.27 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5.25 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 6,998.49 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 266.45 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 6,200.62 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 409.82 ล้านบาท
ที่มา : ตามรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย , dpo
จะเห็นจากข้อมูลเมื่อวิเคราะห์ไปถึงผลประกอบการย้อนหลัง 10 ปี พบว่าในปี 2560 เคยมีรายได้ระดับหมื่นล้านบาท แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมารายได้ลงลงอย่างต่อเนื่องจนปีล่าสุด คือ 2567 เหลือรายได้ 6,200 ล้านบาท เท่ากับว่ารายได้หายไปมากถึง 4 พันล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งเกิดจากอัตราการเกิดของประชากรไทยลดลง ทำให้ผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มมีความต้องการลดลงตามไปด้วย
นอกจากนี้ในแง่ของกำไรสุทธิ พบว่าช่วง 2 ปีล่าสุดมีผลขาดทุนสุทธิจำนวนมาก โดยการขาดทุนนั้นเกิดจากทั้งยอดขายที่ลดลง และมีต้นทุนที่สูงขึ้น อีกทั้งยังมีการแข่งขันที่รุนแรงจากทั้งนมจากต่างประเทศ และนมทางเลือกอย่างนมจากพืช
ทำให้เห็นว่าการทำธุรกิจนมพร้อมดื่มในปัจจุบัน ต้นทุนเป็นปัจจัยหลักที่ต้องคำนึงถึง เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง หากผู้เล่นรายได้สามารถบริหารต้นทุนได้ดีก็จะได้เปรียบในแง่ของการแข่งขัน ซึ่งจริงๆแล้ว ไทย-เดนมาร์ค มีความสามารถจัดการต้นทุนได้ทั้ง Supply chain เพราะมีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ คือ ฟาร์มเลี้ยงโคนม ไปจนถึงการผลิตของตัวเอง ซึ่งหากจะมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้คือ ต้นทุนการผลิตน้ำนมดิบของไทยที่อาจถูกกว่าราคานมในประเทศในบางช่วง ซึ่งจะทำให้ไทย-เดนมาร์คเสียเปรียบในเชิงต้นทุนกับแบรนด์จากต่างชาติ
ที่มา : รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย , dpo ,fic.nfi.or.th
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
#BusinessPlus
#ธุรกิจ
#ไทย-เดนมาร์ค
The Business Plus บิสิเนสพลัส

