The Success Story of The Month : The Hero Driving BAM’s New Era ผู้นำแห่งการเปลี่ยนผ่าน สู่จักรวาลแห่งความหวัง

The Success Story of The Month By ‘Business Plus ฉบับเดือนตุลาคม 2568 จะพาผู้อ่านมาพบกับบทสัมภาษณ์สุดพิเศษจาก ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ถึงปรากฏการณ์ที่พลิกโฉมรูปแบบการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในประเทศไทยให้เกิดขึ้นจนน่าทึ่ง พร้อมกับการเปลี่ยนบทบาทของ BAM จาก “โรงพยาบาลหนี้” สู่ “จักรวาลแห่งการฟื้นฟู” ที่ต้อนรับลูกหนี้ด้วยรอยยิ้ม เสนอทางออกด้วยความเข้าใจ และสร้างความหวังให้กับผู้ที่เคยล้มเหลวในชีวิตธุรกิจ

ต้องยอมรับว่า แนวคิดใหม่ของบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เป็นการนำเสนอ New Business Model มุ่งเน้นบริหารจัดการและฟื้นฟูสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้กลับมามีมูลค่าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งภายใต้การนำของดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ ได้ผลักดันกลยุทธ์ “3P” ได้แก่ People Partnership และ Platforms/Process เพื่อยกระดับองค์กรให้เป็นมากกว่า AMC ธรรมดา

ดร.รักษ์ ถือเป็นผู้นำยุคใหม่ ที่ไม่เพียงแค่สานต่อความสำเร็จของผู้บริหารคนก่อนหน้า แต่เขายังสร้างปรากฏการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ ที่พลิกโฉมรูปแบบการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในประเทศไทยให้เกิดขึ้นจนน่าทึ่ง พร้อมกับการเปลี่ยนบทบาทของ BAM จาก “โรงพยาบาลหนี้” สู่ “จักรวาลแห่งการฟื้นฟู” ด้วยวิธีคิดใหม่ที่ผสานระหว่างความเข้าใจมนุษย์กับกลยุทธ์ทางการเงินอย่างลึกซึ้ง

จากเดิมที่ BAM ถูกมองว่าเป็นบริษัท AMC ที่เน้นการตามหนี้ ยึดทรัพย์ และรีเซลในตลาด แต่วันนี้ BAM กลายเป็นองค์กรที่ต้อนรับลูกหนี้ด้วยรอยยิ้ม เสนอทางออกด้วยความเข้าใจ และสร้างความหวังให้กับผู้ที่เคยล้มเหลวในชีวิตธุรกิจ

การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของ BAM ภายใต้การนำของ ดร.รักษ์ ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิด แต่สะท้อนออกมาเป็นผลประกอบการที่โดดเด่น ทั้งในแง่รายได้และกำไร ได้แก่ รายได้รวม 7,135.68 ล้านบาท, ค่าใช้จ่ายรวม 5,624.92 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 1,510.76 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน), ROA เพิ่มขึ้นเป็น 4.39% จากเดิมต่ำกว่า 2% และ ROE อยู่ที่ 5.07%

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงการบริหารที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในรอบ 3 ปี และเป็นผลลัพธ์จากการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจอย่างแท้จริง

และด้วยการผสมผสานระหว่างยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาด ความเป็นผู้นำที่กล้าเปลี่ยนแปลง และความตั้งใจที่ไม่หยุดนิ่ง ดร.รักษ์ จึงเป็นตัวอย่างของผู้บริหารยุคใหม่ที่ไม่เพียงสร้างมูลค่าให้กับองค์กร แต่ยังวางรากฐานที่ดีสำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง

Business+ ได้รับเกียรติจาก ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เพื่อฉายภาพและมุมมองการบริหารธุรกิจในทุก ๆ มิติ

สำหรับการปรับโมเดลการดำเนินธุรกิจของ BAM นั้น ดร.รักษ์ บอกว่า ด้วยบทบาทและด้วยหมวกที่เปลี่ยนไป จากวันที่ปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้า วันที่เขามีความฝัน มีความหวัง มีธุรกิจที่ไปต่อได้สวยงาม แต่วันนี้กลับต้องมาเจอกับลูกค้าและลูกหนี้ที่ฝันสลาย จากที่เคยเจอรอยยิ้ม ในทางกลับกัน วันนี้ต้องมาเจอคนที่มีความทุกข์ มีคราบน้ำตา ซึ่งหากยังคงบทบาทเดิมของคำว่า Bad Bank หรือว่าบริษัท AMC ก็โฟกัสในเรื่องการติดตามหนี้ หรือต้องเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ต้องไปดูว่าถ้าเกิดเขาจ่ายหนี้ไม่ได้แล้ว จะเอาหลักประกันมาตีทรัพย์ชำระหนี้ได้หรือไม่ หลังจากนั้น ก็เอาหลักประกันมารีเซลในตลาด ด้วยโมเมนตัมหรือบรรยากาศแบบนี้ ทำให้บริษัท AMC ดูเป็นเหมือนกับโรงพยาบาล มีความทุกข์ทรมาน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ BAM ต้องเปลี่ยน คือ เปลี่ยนบรรยากาศแรกเข้าก่อน

“การที่เราจะเดินเข้าไปหาลูกค้าแล้วบอกว่า ถ้าคุณไม่มีทางออก จงมองหาเรา เราทำหน้าที่เป็นเพื่อน ทำหน้าที่เป็นคู่คิด แล้วเราพยายามที่จะดูว่าคุณไหวเท่าไหร่ เพราะว่าการที่ปรับโครงสร้างหนี้กับเรา ในอนาคตคุณก็สามารถที่จะรีบอร์นในเชิงของธุรกิจได้ บ้านที่คุณมีอยู่แทนที่จะต้องโดนยึด เราก็สามารถให้คุณอยู่ต่อไปได้ แต่เราต้องมาพูดคุยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ๆ คืออะไร เพราะฉะนั้น ด้วยบรรยากาศที่เปลี่ยนไปก็จะเห็นว่า ผลเรียกเก็บ ก็คือการปรับโครงสร้างหนี้ กับการรีเซลบ้านมือสอง หรือว่าทรัพย์มือสอง แค่ครึ่งปีนี้ก็เกือบจะเท่ากับปีที่แล้วทั้งปี กำไรครึ่งปีปีนี้เท่ากับกำไรปีที่แล้วทั้งปี เพราะฉะนั้น ด้วยบรรยากาศ ด้วย Mood and Tone ในการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป ถ้าเราสามารถต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้ม ต้อนรับลูกค้าด้วยความหวัง เพื่อที่ให้เขาตั้งตัวได้ใหม่ ผมว่าบรรยากาศต่าง ๆ จะเปลี่ยนไป แล้วในที่สุดเขาจะมีความรู้สึกว่า เราเป็นเพื่อน และพร้อมจะเติบโตไปด้วยกัน”

ปรับ Mindset ให้ทุกฝ่ายเห็นเป้าหมายเดียวกัน

อย่างไรก็ดี หากต้องการให้ลูกค้าเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อ BAM ทาง BAM เองก็จะต้องเปลี่ยนจุดที่ยืนมองต่างจากเดิมด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น พนักงานของ BAM ทั้ง 1,326 ชีวิต ต้องลองเปลี่ยนจุดยืน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีความรู้สึกว่า เราอยากจะปรับโครงสร้างหนี้ ลองเอาใจของลูกหนี้มาใส่ในใจเรา ว่าทำไมเขาถึงอยากที่จะตัดสายโทรศัพท์ ทำไมเขาถึงไม่ตอบรับ นั่นก็เพราะว่า บรรยากาศแรกเข้าเราไม่ได้ทำให้เขามีความรู้สึกว่าเขาอยากเดินเข้ามาหาคุณ คุณก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเจ้าหนี้เดิมที่โทรหาเขาเช้ากลางวันเย็น เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ถ้าคุณเปลี่ยนบรรยากาศ เช่นเราไถ่ถามเป็น Hello Letter ว่า วันนี้หนี้ของคุณมาอยู่กับเราแล้วนะ เราเป็นเพื่อนใหม่ของคุณนะ อยากให้คุณเข้ามาคุยกัน อยากให้มองว่า “หนี้” ไม่ว่าจะเป็น “หนี้เสีย” หรือว่าหนี้ที่มีปัญหา ไม่ใช่คำสาปและสามารถแก้ได้

เพราะฉะนั้น ถ้าแก้ได้ไว มาเจรจากันได้ไว โดยนำปัญหาที่ลูกค้าเผชิญอยู่มาคุยกัน และเพื่อให้กระบวนการทุกอย่างมีความรวดเร็วและตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น ซึ่งปัจจุบันทาง BAM ได้แบ่งตัวธุรกิจเป็น 2 ตะกร้า ในทุก ๆ AMC มีธุรกิจที่เรียกว่า ส่วนปรับโครงสร้างหนี้ หรือว่าดูแลในเรื่องของ NPL ในมุมของ NPL และเพื่อให้การบริหารหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นจะต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นหนี้ก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ ก้อนกลาง วิ่งเข้าไปในสายพาน สายพานเดียว แล้วก็เป็นลักษณะของการรอว่า เจ้าก่อนหน้านี้ปรับโครงสร้างหนี้เสร็จหรือยัง ถึงทำเจ้าต่อไปได้

โดยทางดร.รักษ์ ได้ออกแบบสิ่งที่เราเรียกว่า “โรงงานแก้หนี้” หรือ TDR Factory ด้วยการออกแบบเป็น 3 สายพานลูกหนี้ ถ้าเป็นหนี้ Housing Loan หนี้บุคคลธรรมดา ก็วิ่งไปที่สายพานที่มีเจ้าหน้าที่ดูแล มีหัวหน้าสายงาน ที่จะดูแลหนี้ประเภทนี้ ส่วนหนี้ที่เป็นหนี้ SME ก็วิ่งเข้าอีกสายพานหนึ่ง และหนี้ที่เป็นหนี้ Corporate ใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคารพาณิชย์ โรงแรม หรือว่ากิจการที่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ นิคมอุตสาหกรรม ก็วิ่งไปที่เจ้าหน้าที่ธุรกิจสัมพันธ์อีกแบบหนึ่ง

เพราะฉะนั้น ลูกหนี้ทุกคนจะได้รับการบริการด้วยความถนัดของกลุ่มเจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นจริง ๆ แทนที่จะต้องไปเสี่ยงดวงเอา เพราะว่าบางครั้งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ แต่ต้องไปเจรจากับเจ้าหน้าที่สินเชื่อบุคคล แบบนี้ก็จะไม่ตอบโจทย์ และไม่สามารถแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้

ทั้งนี้ ภายหลังจากมี “โรงงานแก้หนี้” ผลลัพธ์คือ ช่วยให้ผลเรียกเก็บทำได้เร็วขึ้น การปรับโครงสร้างหนี้จากเดิมที่มี Success Rate หรือว่าผลสำเร็จอยู่แค่ประมาณไม่ถึง 17% วันนี้สามารถเพิ่มผลสำเร็จในการปรับโครงสร้างหนี้ไปถึง 30% สิ่งเหล่านี้ได้นำมาซึ่งผลเรียกเก็บได้สูงถึงเดือนละประมาณ 800-1,000 ล้าน ซึ่งเกิดขึ้นได้จากเดิมที่มีปริมาณการผลเรียกเก็บอยู่แค่ประมาณ 500-600 ล้าน เพราะฉะนั้น 20-30% ที่เพิ่มขึ้นก็หมายถึงว่า BAM ทำงานน้อยลง ขณะที่ลูกหนี้สามารถที่จะพบแสงสว่างปลายอุโมงค์ได้เร็วขึ้น

Ecosystem BAM จักรวาลแห่งการเติบโตร่วมกัน

ทั้งนี้ ดร.รักษ์ ยังบอกด้วยว่า หนึ่งในหัวใจของการเปลี่ยนแปลง คือ การปรับ Business Model จากการถือครองสินทรัพย์ระยะยาว มาเป็นการเร่งระบายทรัพย์แบบ “Quick Turn-around” โดยลดระยะเวลาการถือครองจากเฉลี่ย 7.5–8.2 ปี เหลือเพียง 4–4.5 ปี โดยแบ่งกลุ่มทรัพย์ตามมูลค่า และจับมือกับพันธมิตรเฉพาะทาง ยกตัวอย่าง VBeyond Development ทรัพย์ต่ำกว่า 3 ล้านบาท, Bangkok Asset ทรัพย์ขนาดกลาง 3–20 ล้านบาท และ Siamese Asset ทรัพย์ขนาดใหญ่และที่ดินเปล่าหลายร้อยล้านบาท

โดย BAM ทำหน้าที่คัดกรองและปรับโครงสร้างหนี้ จากนั้นทางพันธมิตรช่วยรีโนเวทและขายแบบครบวงจร ขณะเดียวกันยังมี ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) หรือ UOB เป็นอีกหนึ่งพันธมิตรสำคัญ เข้ามาสนับสนุนสินเชื่อแบบ case-by-case ด้วยข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าอีกด้วย

แน่นอนว่า การร่วมมือกับพันธมิตรที่สำคัญเหล่านี้ ช่วยให้ BAM สามารถปิดดีลได้เร็วขึ้น เก็บเงินสดได้มากขึ้น เป็นการตอบโจทย์ในการบริหารหนี้ในส่วนของตะกร้าที่ 2 นั่นก็คือ NPA คือทรัพย์มือสองนั่นเอง โดยเปิดรับผู้เชี่ยวชาญเข้ามา Fix and Flip เปลี่ยนบ้านมือสองให้กลายเป็นบ้านใหม่ที่พร้อมอยู่ ซึ่งบ้านบางหลังแทบจะไม่รู้เลยว่าเป็นบ้านมือสองมาก่อน และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การขายทรัพย์มือสองมียอดขายแซงทรัพย์มือหนึ่งไปแล้วในขณะนี้

นอกจากนี้ ยังมีคนที่เราเรียกว่า House Doctor คือ กลุ่มคนที่เข้ามาปรับบ้านให้กลายเป็นบ้านที่มีความเป็น Personalize มากขึ้น ตามแบบที่ลูกค้าต้องการ เช่นว่า อยากได้บ้านสไตล์ Minimalist ก็จะมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่เข้ามาเปลี่ยนหน้าตาของบ้านให้กลายเป็น Minimalist Concept

“ภาพเหล่านี้เป็นภาพที่ทำให้เห็นว่า เมื่อเราเปิดรับพันธมิตรมากขึ้น มีพาร์ตเนอร์ที่เอาบ้านมือสองของเรา เอาที่ดินมือสองของเรา ไปปั้นแล้วไปรีเซล ทำให้ทรัพย์ที่เป็นทรัพย์ NPA ระบายได้เร็วขึ้น และปีนี้ทั้งปีเราสามารถสร้างความสำเร็จจากกลุ่มพันธมิตรไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้าน นั่นเลยเป็นที่มาว่า ทำไมปีนี้เราถึงมีความมั่นใจว่า เราน่าจะไปแตะตัวเลขใกล้ ๆ 20,000 ล้านในมุมของผลเรียกเก็บได้”

ดร.รักษ์ มองภาพของ BAM ในวันนี้ว่า มีเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนองค์กรที่เรียกว่า “จักรวาล BAM” หรือ BAM Ecosystem ซึ่งความหมายคือ จะไม่โตคนเดียว แต่จะโตไปพร้อมกับสังคมสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัว อย่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนก็มีความฝัน ทุกคนมีความถนัด เมื่อก่อน BAM เก็บทรัพย์เอาไว้คนเดียว 30,000 รายการ ทำเอง ซ่อมเอง ทาสีเอง ขายเอง ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คืองานที่ไม่ถนัด เพราะงานหลักคือ เป็นคนปรับโครงสร้างหนี้ เพราะฉะนั้น อะไรที่ไม่ถนัดก็ให้พันธมิตรทำดีกว่า แล้วแบ่งกำไรกัน ช่วยให้ทรัพย์เกิดการหมุนเร็ว ที่สำคัญไม่ต้องสร้างภาระหนี้จนเกินไป เมื่อก่อนอยากซื้อทรัพย์เยอะ ๆ ก็ต้องก่อหนี้ออกหุ้นกู้เพื่อนำเงินมาซื้อ แต่วันนี้โฟกัสการเติบโตตามกำลังที่รับไหว อย่างเช่น เติบโตในมุมของ Asset ปีละประมาณ 3-5% ส่วนในมุมของกำไรสุทธิขอโตปีละประมาณ 5-7% นั่นคือสิ่งที่ BAM ทำไหว และจะก้าวไปพร้อม ๆ กับพันธมิตรทุกราย

“เมื่อก่อนเรามีกองทัพช่าง กองทัพสถาปนิก และวิศวกรอยู่ประมาณ เกือบ ๆ 100 ชีวิต พร้อมกับมีเงินให้ออกไปตกแต่งทรัพย์เพื่อขายอยู่ราวปีละ 500-1,000 ล้านบาท แต่ประเด็นคือ คนทำไม่ได้รู้จักตลาด อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า บ้านที่เขาเข้าไปทาสี เข้าไปตกแต่ง จะขายได้หรือเปล่า เพราะว่า KPI ถูกออกแบบมาให้ทำเช่นนั้น แต่วันนี้เราคิดใหม่ ด้วยการเปิดรับพันธมิตรอย่าง VBeyond หรือ Bangkok Asset และกำลังจะมีรายอื่น ๆ ตามมา เพื่อนำทรัพย์ของเราที่มีอยู่นำไปสร้างมูลค่าและขายต่อ ผ่านทางเน็ตเวิร์กที่เขามีอยู่ เปรียบได้กับการที่เราเปิดตู้เย็นตู้กับข้าวแล้วให้เพื่อน ๆ เข้ามาปรุงอาหาร จากนั้นนำไปขายแล้วนำกำไรมาแบ่งกัน ซึ่งเรามองว่าจะเป็น Key Success Factor ของปีนี้และปีต่อ ๆ ไป เพราะเราจะไม่โตคนเดียว แต่จะโตไปพร้อม ๆ กับพันธมิตร และท้ายที่สุดสิ่งที่เราโฟกัสก็คือ การที่ทำให้ลูกหนี้ที่เคยฝันสลายกลับมายืนได้ใหม่ ธุรกิจที่ไปต่อไม่ได้กลับมาไปต่อได้ วันนี้ BAM จะทำหน้าที่เป็นผู้หยิบยื่นโอกาสให้กับคนที่อยู่ในจักรวาลของเราทั้งหมด”

จากความเชี่ยวชาญ สู่การสร้างพันธมิตร

ดร.รักษ์ ย้ำว่า ก่อนจะไปช่วยใครหรือไปร่วมมือกับใคร เราต้องรู้ก่อนว่า เราเก่งอะไร ซึ่งจุดแข็งของ BAM คือ ความเชี่ยวชาญในการบริหารหนี้ที่มีหลักประกัน ซึ่งเป็นจุดแข็งที่องค์กรสะสมมายาวนาน ที่สามารถเข้าไปเติมเต็มช่องว่างของพันธมิตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น BAM จึงไม่เพียงแต่ซื้อหนี้มาบริหารเองปีละกว่า 30,000–40,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่ยังสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่เรียกว่า “การคลอดลูกกับเพื่อน” ผ่านการร่วมทุนกับธนาคารต่าง ๆ เช่น ร่วมกับธนาคารออมสิน จัดตั้ง บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (ARI-AMC) โดยมีเป้าหมายเพื่อรับซื้อและบริหารจัดการหนี้เสียของธนาคารออมสิน และลูกหนี้กลุ่มอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากปัญหาหนี้สินและประวัติเครดิตเสียได้เร็วขึ้น สำหรับหนี้ไม่มีหลักประกัน ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย จัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์ อรุณ จำกัด (ARUN AMC) เพื่อช่วยพลิกฟื้นสถานะลูกหนี้ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งการดำรงชีพและการดำเนินธุรกิจสำหรับหนี้ที่มีหลักประกันขนาดกลาง และยังมีแผนจะขยายความร่วมมือกับธนาคารอื่น ๆ ในรูปแบบ Exclusive Deal อีกหลายแหล่งในอนาคต

ทั้งนี้ แนวคิด “แต่งงาน” กับสถาบันการเงินไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรย แต่เป็นกลยุทธ์ที่ BAM ใช้ในการสร้างบริษัทร่วมทุนที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการบริหารหนี้แต่ละประเภท โดยอาศัยระบบ Core System ที่สามารถ Plug and Play ได้ทันที และทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านหนี้เสียมากที่สุดในประเทศ

“เราไม่ต้องรอให้เขาขายหนี้มาให้เรา เราออกแบบบริษัทที่ตรงใจเจ้าของหนี้ได้เลย” ดร.รักษ์กล่าว พร้อมเปิดเผยว่า BAM กำลังเตรียมแต่งงานกับธนาคารที่ 3 และ 4 เพื่อขยายเครือข่ายลูกหลานในระบบนิเวศธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยให้ BAM สามารถรับมือกับหนี้เสียจำนวนมหาศาลที่กำลังจะเกิดขึ้นในระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แทนที่จะรอซื้อหนี้เสียจากธนาคารต่าง ๆ ในภายหลัง

Work Life Integration โมเดลการทำงานที่เข้าใจชีวิตจริง

อย่างไรก็ดี ดร.รักษ์ เชื่อมั่นว่า การเติบโตขององค์กรเริ่มต้นจากคนในองค์กร ดังนั้น การเข้ามาบริหาร BAM ไม่เพียงแต่เข้ามาปรับโมเดลธุรกิจใหม่เท่านั้น แต่ยังได้นำแนวคิดการบริหารบุคลากรในแบบ “Work Life Integration” มาใช้แทน “Work Life Balance” ที่ล้าสมัยอีกด้วย เพราะในชีวิตจริงของคนเราไม่สามารถแบ่งแยกระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด BAM จึงเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถจัดการตารางการทำงานของตนเองได้อย่างยืดหยุ่นภายใต้ระบบ “Honor System” ที่เน้นความรับผิดชอบต่อผลงานมากกว่าเวลาเข้า-ออกงาน ซึ่งช่วยเพิ่มขวัญและกำลังใจในการทำงาน และทำให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

“ในชีวิตคน จะมีช่วงที่งานหนักกว่าการใช้ชีวิตกับครอบครัว หรือในบางช่วงที่ใช้ชีวิตกับครอบครัวมากกว่าการทำงาน เพราะฉะนั้น เราคงออกแบบไม่ได้ว่า balance ของแต่ละคนคืออะไร แต่สิ่งที่ทำได้จะทำอย่างไรให้แต่ละคนมีชีวิตของการทำงาน มีชีวิตของการใช้เวลาส่วนตัวกับครอบครัว ผสานกันไปโดยที่เราไม่ต้องมีความรู้สึกว่า นี่คืองาน นี่คือชีวิต นั่นเลยเป็นที่มาของการทำ Work Life Integration โปรแกรมการทำงานของที่นี่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ เราออกแบบ KPI เป็นห้วงเวลา ในช่วงต้นเดือน กลางเดือน และปลายเดือน โดยให้พนักงานสามารถออกแบบสปีดในการทำงานของเขาเองได้ ผ่านระบบที่เราเรียกว่า Honor System โดยไม่ต้องตามเช็กว่าตอกบัตรเข้ากี่โมง ตอกบัตรออกกี่โมง มุมพวกนี้เชยไปแล้ว วันนี้วัดกันที่ ส่งงานตรงตามความต้องการที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่ตอนต้นหรือเปล่า ถ้าคุณส่งได้ ผมว่า เรื่องเวลาวันนี้ไม่มีใครตั้งคำถามอีกต่อไปแล้ว และสิ่งที่พิสูจน์ได้ คือ สิ่งที่เขาตอบแทนกลับมาร้อยเท่าทวีคูณเลย”

ขณะเดียวกัน ดร.รักษ์ ยังให้ความสำคัญกับการรับฟัง “เสียงของพนักงาน” ผ่านแอปพลิเคชัน “Bam Voice” ที่เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะได้อย่างไม่ระบุตัวตน ซึ่งเป็นช่องทางที่ตรงไปตรงมาและรวดเร็วในการนำปัญหาต่าง ๆ มาแก้ไขได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการปรับปรุงสวัสดิการต่าง ๆ ให้ดีขึ้น ซึ่งข้อเสนอแนะต่าง ๆ จะถูกนำมาแก้ไขและรายงานผลใน Town Hall ทุก 6 สัปดาห์ พร้อมกับแชร์กับเพื่อนพนักงานว่า สิ่งที่เสนอมานั้นได้รับการแก้ปัญหาอะไรไปบ้างแล้ว ยกตัวอย่างสิ่งที่เป็นเรื่องที่ติดอยู่ในใจมายาวนาน อย่างการเข้าโรงพยาบาล เหตุใดต้องออกเงินไปก่อน แล้วจึงนำใบเสร็จโรงพยาบาลมายื่นรอรับเงินจาก BAM ทีหลัง

ทั้งนี้ สิ่งที่ได้แก้ปัญหาในส่วนนี้ คือการทำ MOU กับสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ว่า BAM ขอรับเป็นลูกหนี้ หากพนักงานเข้าไปรับบริการแล้ว ให้รับยาแล้วเดินตัวเปล่าออกมาเลย มุมนี้เป็นมุมที่เหมือนอาหารใจ เพราะเงิน 3,000 บาท หรือ 5,000 บาท บางคนอาจจะมองว่าไม่มาก สมมติว่าคุณเงินเดือนเพียง 18,000 บาท แล้วต้องรอเบิกเงินอีก 2 อาทิตย์ ก็ถือว่าหนักสำหรับคนตัวเล็ก ๆ ที่มีรายได้ไม่เยอะ

“เรื่องสวัสดิการพนักงาน ผมมองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เพื่อนของเรามีแรงใจทำงาน เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมรีบทำไปก่อนเลยตั้งแต่ 2 เดือนแรกที่มา ส่วนในขั้นถัดไปก็คือมานั่งดูว่า แล้วพนักงานที่อายุน้อย ๆ ที่เป็น generation ใหม่ ๆ ที่ร่างกายแข็งแรงอยู่ ซึ่งไม่ได้ป่วย แต่บริษัทได้เตรียมเงินไว้ดูแลเขาปีละ 25,000 บาท จะดีกว่าไหม ถ้าเกิดเขาบอกว่า เขาไม่ป่วยแต่เขาขอใช้เงินก้อนนั้นในการที่จะซื้อรองเท้าวิ่ง สมัครฟิตเนส ซื้ออุปกรณ์กีฬา เพื่อดูแลสุขภาพ หรือตัดแว่นตา สิ่งเหล่านี้ก็เป็นมุมที่ให้พนักงานออกแบบสวัสดิการของตัวเอง แบบ Flexible Benefit วันนี้เรามีมิติใหม่ ๆ ในการดูแลคนต่างวัย ต่าง generation ได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ดร.รักษ์ ยอมรับว่า การเปลี่ยนที่ทำให้พนักงานทั้งองค์กรให้ก้าวไปพร้อมกันเป็นเรื่องที่ยาก เพราะในทุกองค์กรจะมีคนที่มีภาวะที่เรียกว่า กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทุกองค์กรจะมีแผนกที่ “งานท่วมคน” แล้วก็ทุก ๆ องค์กรก็จะมีแผนกที่ “คนท่วมงาน” ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องเข้าไปสแกนทั้งระบบ เพื่อสร้างความสมดุลให้กับแต่ละส่วนงานได้ดีมากขึ้น แต่ทั้งหมดทั้งมวลต้องเริ่มต้นจากการที่เราเอาใจมาแลกใจกันก่อน

นั่นจึงเป็นที่มาว่า วันนี้ BAM มีกองทัพพิเศษอยู่ประมาณเกือบ ๆ 30 ชีวิต ที่มาจากแผนกที่คนล้นงาน แล้วจัดให้อยู่ใน “หน่วยรบพิเศษ” ที่พร้อมจะวิ่งเข้าไปเติมในส่วนที่งานล้นคน ซึ่งจะทำให้สามารถจัดสมดุลทั้งงานและคนได้อย่างลงตัว​ โดยการทำ Transformation ของระบบนี้ ในเฟสที่ 1 คาดว่า จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน เมื่อเสร็จแล้วก็จะได้ Manpower Planning ที่ดีขึ้น พร้อมกับจะได้โครงสร้างองค์กรที่เหมาะกับจริตการทำงานตามแผนธุรกิจใหม่ ที่จะสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในแต่ละสายงานได้มากยิ่งขึ้นและชัดเจนมากขึ้น

อนาคตที่สดใสของ BAM กับการเติบโตไปพร้อมกับสังคม

ดร.รักษ์ ได้บอกถึงเป้าหมายในการขับเคลื่อน BAM หลังจากนี้ด้วยว่า ไม่ได้มองเพียงแค่ตัวเลขผลประกอบการเท่านั้น แต่ยังมองถึงบทบาทของ BAM ในการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้ดูแลหนี้เสียจำนวนมหาศาลในระบบเศรษฐกิจไทย BAM ทำหน้าที่เป็น “Buffer” หรือตัวช่วยในการดูดซับหนี้เสียออกจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถกลับมาปล่อยสินเชื่อใหม่ให้กับประชาชนได้ และยังช่วยให้ลูกหนี้สามารถฟื้นฟูสถานะทางการเงินของตนเองให้ดีขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ การพลิกฟื้นทรัพย์สินร้างให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยังถือเป็นการช่วยเหลือสังคมในด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการลดคาร์บอนเครดิตจากการก่อสร้างใหม่

พร้อมอธิบาย เพิ่มเติมว่า สิ่งสำคัญจะต้องทำให้คนเห็นความสำคัญของ AMC เพราะเป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่ดูดซับหนี้เสียออกจากระบบ ยกตัวเลขให้เห็นชัด ๆ ว่า วันนี้หนี้เสียในธนาคารพาณิชย์มีอยู่ประมาณ 5.2 แสนล้านบาท อยู่ในธนาคารเฉพาะกิจของรัฐอีกประมาณ 3.3 แสนล้านบาท ทั้งสองก้อนรวมกันประมาณ 8.5 แสนล้าน และยังมีที่แขวนเอาไว้ในอากาศ เป็นหนี้ที่ผิดปกติแต่ยังไม่เป็น NPL อยู่อีกประมาณเกือบ ๆ 1.3 ล้านล้านบาท เมื่อทั้งหมดแม่น้ำสามสายรวมกันก็จะมีมากกว่า 2 ล้านล้านบาท แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยมี AMC ที่สามารถรองรับหนี้จำนวน 2 ล้านล้านบาทได้ไม่ถึง 5 บริษัท จากทั้งหมด 86 บริษัท แต่ 5 บริษัทที่คิดว่าพอเอาไหว คำว่าพอเอาไหว ก็คือสามารถที่จะบำบัดหนี้ NPL ได้ปีละประมาณ 200,000 ล้านเท่านั้น

ดังนั้น ความท้าทายที่จะเกิดขึ้นก็คือ เราจะทำอย่างไรให้สามารถดูแลหนี้ได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยใช้คนเท่าเดิม นั่นจึงเป็นที่มาของการปรับมาใช้เป็นระบบสามสายพานหรือสามเลนของ BAM ซึ่งในมุมนี้จะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงขึ้น รับหนี้ใหม่ได้ไวขึ้นและมากขึ้น เพราะฉะนั้น จากเดิมที่ BAM เคยสามารถที่จะรับหนี้ได้ประมาณปีละ 100,000 ล้านบาท เมื่อมีพันธมิตรมาร่วมเป็น Joint Venture ก็จะทำให้รับได้อีก 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เติบโตแบบก้าวกระโดดจากศักยภาพที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน โดยที่ไม่ต้องเพิ่มอะไร เพียงแต่ปรับการทำงาน เติมระบบออโตเมชัน ใช้ AI เข้ามาช่วยทำให้กระบวนการทำงานเร็วขึ้น พร้อมกับรับหนี้ให้เร็วในราคาที่ยุติธรรม และสามารถทำให้ลูกหนี้กลับไปเกิดใหม่ได้เร็ว ภาพนี้คือภาพที่เอามาไว้ในสมการในการทำธุรกิจของ BAM ในปัจจุบัน และภาพจะเริ่มชัดเจนยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

จับตา BAM มิติใหม่ ที่พร้อมจะบินไกลกว่าเดิม

แน่นอนว่า ด้วยวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลและความมุ่งมั่นในการสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรของดร.รักษ์ ทำให้ BAM ในวันนี้ เป็นภาพสะท้อนของการบริหารที่กล้าคิด กล้าทำ และกล้าเปลี่ยน เพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนขององค์กร แม้ว่าต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป สถานการณ์การเมืองของประเทศ และการแข่งขันในตลาดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่เข้มข้นขึ้น แต่ด้วยการวางกลยุทธ์ใหม่อย่างเป็นระบบ ได้ทำให้เห็นถึงการเดินที่ถูกทาง ผ่านตัวเลขผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบ 3 ปี ทั้งในด้านรายได้ กำไรสุทธิ และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ คงต้องติดตามต่อว่าภายใต้ Business Model ใหม่ที่กำลังไปได้สวยจะช่วยให้ BAM บินสูงกว่าที่ผ่านมาได้มากเพียงใด…

 

เขียนและเรียบเรียง : สุรชัย บ่อจันทึก

ติดตาม Business+ : https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+  : https://lin.ee/pbIHCuS

IG  : https://instagram.com/businessplus.th

Youtube : https://www.youtube.com/@thebusinessplus7829

#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus #Business