ถอดแนวคิด “ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม” นำ “ศุภาลัย” ยืนหนึ่งอสังหาฯ ของไทย
เมื่อเอ่ยถึงความสำเร็จในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ในปีที่ผ่านมา ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “ศุภาลัย” คือหนึ่งในบริษัทที่เติบโตอย่างมั่นคง โดดเด่นทั้งในแง่ผลประกอบการ กลยุทธ์ธุรกิจ และจริยธรรมในการดำเนินงาน ซึ่งทั้งหมดสะท้อนถึงวิสัยทัศน์อันเฉียบคมของ ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ผู้บุกเบิกแนวคิดการบริหารแบบ Postmodern Management ที่ไม่เพียงแต่สร้างผลตอบแทนให้สูง แต่ยังทำให้ความเสี่ยงต่ำลงได้อย่างมีศิลปะ จนส่งให้ผลประกอบการของศุภาลัย ดีที่สุดในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในปีที่ผ่านมา
ต้องยอมรับว่า ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ไม่ได้เพียงแค่บริหารศุภาลัยให้ยืนหยัดและมั่นคง แต่เขายังหล่อหลอม ‘ศิลปะแห่งการบริหาร’ ด้วยการยึดหลัก “Low Risk High Return” และแนวคิดการบริหารแบบ Postmodern Management จนกล่าวได้ว่า ศุภาลัย สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซในปีที่ผ่านมาได้อย่างน่าชื่นชม
Low Risk, High Return กลยุทธ์สวนกระแสที่พิสูจน์แล้วว่า ได้ผลจริง
ในขณะที่แนวคิดธุรกิจดั้งเดิม มักจะเชื่อว่า “High Return มักมาพร้อม High Risk” แต่ศุภาลัยภายใต้การนำของ ดร.ประทีป ได้พลิกความเชื่อเดิม ด้วยการนำเสนอแนวทางที่ตกผลึกจากประสบการณ์การทำงานของท่านมาตลอดหลายทศวรรษในการวางรากฐานให้แก่ศุภาลัย อีกทั้งต้องผ่านการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด โดยมีวินัยทางการเงิน และเมื่อการบริหารจัดการที่แม่นยำ ทั้งจากศาสตร์บริหารที่ยืดหยุ่นและครอบคลุมแบบ “8+1” พหุศิลป์ Poly Arts ซึ่งดร.ประทีป อธิบายว่า หลักการของ “8+1” หมายถึงการผสมผสานทักษะต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างสมดุล เพื่อสร้าง Management Art ที่ปรับใช้ได้กับสถานการณ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าตลาดจะเปลี่ยนไปอย่างไร ประกอบด้วย สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม อักษรวิจิตร วรรณกรรม คีตกรรม เรขศิลป์ การถ่ายภาพ + ศิลปะการบริหารจัดการ
ท่านบอกว่า แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ใช้ได้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงหลักการบริหารที่สามารถปรับใช้ในทุกวงการ ด้วยการวางแผนที่ยืดหยุ่น การตัดสินใจที่รวดเร็ว และการมองทุกมิติอย่างรอบด้าน นั่นเพราะว่า การบริหารจัดการในโลกธุรกิจทุกวันนี้ ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไปจนถึงความคาดหวังของผู้บริโภคที่สูงขึ้น ดังนั้น ศุภาลัย จึงต้องการปิดจุดอ่อนของตนเองให้หมด เพื่อนำเสนอคุณค่าที่ดีแก่ลูกค้า โดยแนวทางที่เรียกว่า “8+1” พหุศิลป์ Poly Arts เปรียบดั่งคัมภีร์ทางธุรกิจของศุภาลัย เพื่อสร้าง Management Art ที่โดดเด่นจนผู้บริโภคยากที่จะปฏิเสธสินค้าและบริการจากศุภาลัย
และเมื่อมองลงลึกเข้าไป หลักการบริหารธุรกิจของศุภาลัย เปรียบเทียบกับหลายบริษัท ที่ทุ่มลงทุนสูงเพื่อหวังสร้างยอดขาย แต่กลับมีภาระหนี้ที่ฉุดรั้งการเติบโต แต่สำหรับ ศุภาลัย กลับยึดมั่นในวินัยทางการเงิน ด้วย Gearing Ratio ที่ต่ำที่สุดในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยใช้เงินทุนหมุนเวียนจากผลกำไรสะสม แทนการกู้ยืม ในขณะที่แนวคิดการบริหารแบบ Postmodern Management ซึ่งดร.ประทีป นำมาปรับให้เข้ากับการบริหารของศุภาลัย ซึ่งฉีกหลักบริหารแบบท่องจำจากตำราธุรกิจ (MBA) หรือการสั่งการแบบเถ้าแก่ดั้งเดิมมาใช้ หมายความว่า ดร.ประทีป สามารถบูรณาการองค์ความรู้ที่ท่านมีความชำนาญ ทั้งในมิติที่ทั้งลึกและกว้าง มาปรับใช้ได้อย่างน่าชื่นชม
และด้วยความที่ท่านเป็นสถาปนิกโดยพื้นฐาน ทำให้สามารถเข้าใจโครงการได้แบบ “ครบวงจร” ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยไม่ต้องพึ่งที่ปรึกษาภายนอกมากนัก ท่านสามารถประเมินการออกแบบโครงการต่าง ๆ ได้ภายในหนึ่งหรือสองวัน เพื่อลดเวลาและลดความเสี่ยงในการตัดสินใจ และยังกระจายแนวคิดนี้ไปยังทีมงานในฝ่ายจัดหาที่ดิน และพัฒนาโครงการให้มีทั้งความรู้เชิงธุรกิจ (MBA) และความเข้าใจด้านการออกแบบทำให้การบริหารโครงการมีความแม่นยำและรวดเร็วในทุกระดับ
นอกจากนี้ ศุภาลัย วางกลยุทธ์ “แบรนด์เดียว” ในการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าทุกระดับ ซึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ต่างทราบดีว่า หลายแบรนด์เลือกใช้กลยุทธ์ Sub-Brand เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย แต่ ศุภาลัย กลับยึดแนวทางที่เรียบง่ายและชัดเจน ด้วยการใช้เพียงแบรนด์เดียวคือ “ศุภาลัย” ในทุกโครงการที่เปิดขาย
ผลที่ตามมาไม่ใช่แค่การลดต้นทุนการตลาดได้มากถึง 200-300 ล้านบาทต่อปี แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์เดียวที่แข็งแรง และส่งผลต่อความจงรักภักดีของลูกค้า ซึ่งกลยุทธ์นี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในระยะยาว และการบริหารแบรนด์แบบมีระบบ ไม่ตามกระแส
อีกเคล็ดลับที่สำคัญคือ ดร.ประทีปนำหลักธรรมาภิบาลมาเป็นอีกหนึ่งแกนสำคัญในการบริหารธุรกิจ โดยท่านย้ำว่า “Good Governance เราจริงจังมาก เราเน้นการทำธุรกิจที่โปร่งใส ยึดถือจริยธรรม และไม่เอาเปรียบคู่แข่งหรือผู้บริโภค รวมถึงการบอกกับพนักงานให้ “พูดความจริงกับลูกค้า”
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจนและความพร้อมที่จะปรับตัว ศุภาลัย มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ รวมถึงการเน้นความยั่งยืนและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่จะเป็นอีกจุดแข็งเพื่อช่วยให้บริษัทฯ สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ดังจะเห็นได้จากผลประกอบการในปี 2567 ที่ทาง ศุภาลัย สามารถทำกำไรสุทธิสูงสุดในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ด้วยตัวเลขมากถึง 6,190 ล้านบาท จากรายได้รวม 31,985 ล้านบาท สะท้อนชัดเจนถึงความสำเร็จของแนวคิด Low Risk, High Return ซึ่งเกิดจากการลงมือทำอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงทฤษฎี อย่างแน่นอน