รวมเทคนิครักษา “ข้อเสื่อม” ที่คุณต้องรู้

รวมเทคนิครักษา “ข้อเสื่อม” ที่คุณต้องรู้

ปัจจุบัน “โรคข้อเสื่อม” กลายเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่กำลังส่งผลกระทบต่อคนไทยจำนวนมากอย่างเงียบ ๆ โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานและผู้สูงอายุที่เริ่มมีอาการเจ็บตามข้อต่อโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งหลายคนยังคงมีความเข้าใจผิดว่า ข้อกระดูกมีความแข็งแรงมากกว่ากระดูกสันหลัง เพราะข้อมีจำนวนน้อยกว่า และสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ข้อกระดูกก็สามารถเสื่อมสภาพได้เช่นกัน หากถูกใช้งานอย่างหนัก หรือไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม

มาลองดูกันถึงแนวทางการรักษา “ข้อเสื่อม” ก่อนที่จะสายเกินแก้

อย่างที่ทราบกันดีว่า ข้อกระดูกนั้นประกอบด้วยเนื้อเยื่ออ่อนที่ต้องทำงานร่วมกับกล้ามเนื้อ เอ็น และหมอนรองข้อ ซึ่งเมื่อใดที่องค์ประกอบเหล่านี้เริ่มสึกหรอหรืออ่อนแรง การเสียดสีก็จะเกิดขึ้น และก่อให้เกิดความเสื่อมในที่สุด

บริเวณที่พบว่ามีการเสื่อมของข้อบ่อยที่สุดคือ ข้อเข่า และกระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นส่วนที่รองรับน้ำหนักของร่างกายมากที่สุด สาเหตุของความเสื่อมในบริเวณเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของคนยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป เช่น การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานโดยไม่มีการขยับตัว การยืนนาน ๆ โดยไม่มีการเคลื่อนไหวสลับท่าทาง หรือแม้กระทั่งการใส่รองเท้าส้นสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน

ทุกพฤติกรรมเหล่านี้ ล้วนส่งผลต่อข้อเข่าและข้อสะโพกทั้งสิ้น นอกจากนี้ กิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง เช่น การวิ่ง การกระโดด หรือการออกกำลังกายแบบหักโหมเกินไป ก็เป็นตัวเร่งให้ข้อกระดูกเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น

แน่นอนว่า หลายคนอาจไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญกับโรคข้อเสื่อม เพราะอาการในระยะแรกมักไม่รุนแรง เช่น ปวดเมื่อยเล็กน้อย ตึงข้อตอนตื่นนอน หรือมีเสียงดังกรอบแกรบเวลาขยับขา อาการเหล่านี้จึงมักถูกมองข้ามและปล่อยให้ลุกลามจนเข้าสู่ระยะที่รุนแรงขึ้น หากคุณเริ่มรู้สึกปวดข้อบ่อย ๆ โดยเฉพาะบริเวณข้อเข่า ข้อสะโพก หรือมีอาการฝืดตึงตอนลุกจากที่นั่ง เสียงในข้อดังเวลาเดิน หรือรู้สึกว่าเคลื่อนไหวข้อได้ยากขึ้น

นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเมื่อข้อเสื่อมจนถึงจุดหนึ่ง ร่างกายจะเริ่มสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ และอาจถึงขั้นเดินลำบากหรือพิการได้ในที่สุด

แล้วถามถึงแนวทางการรักษาโรคข้อเสื่อมนั้น เป็นอย่างไรบ้าง ?

ต้องบอกว่า ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ การรักษาแบบไม่ผ่าตัด และการรักษาแบบผ่าตัด สำหรับผู้ที่อาการยังไม่รุนแรงมาก การรักษาเบื้องต้นอาจเริ่มด้วยการใช้ยาเพื่อลดอาการปวดและอักเสบ ควบคู่กับการทำกายภาพบำบัดเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อ รวมถึงยังมีเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยฟื้นฟูข้อโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น การฉีดน้ำเลี้ยงข้อหรือ Viscosupplementation ที่ช่วยเพิ่มความหล่อลื่นในข้อ ทำให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น หรือการฉีด PRP (Platelet-Rich Plasma) ซึ่งเป็นการใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นจากร่างกายของผู้ป่วยเอง เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อบริเวณที่สึกหรอได้เช่นกัน

สำหรับในกรณีที่ข้อกระดูกเสื่อมจนรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การผ่าตัดอาจกลายเป็นทางเลือกสำคัญ เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมหรือข้อสะโพกเทียม ซึ่งมีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงในปัจจุบัน แพทย์จะพิจารณาจากระดับความเสื่อม อายุของผู้ป่วย และกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ว่าจำเป็นต้องใช้ข้อเทียมหรือไม่

นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคการผ่าตัดส่องกล้องเพื่อซ่อมแซมหมอนรองข้อหรือเอ็นที่ฉีกขาด เช่น เอ็นไขว้หน้า (ACL) หรือเอ็นไขว้หลัง (PCL) ซึ่งใช้เวลาในการฟื้นตัวไม่นานและสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติเร็วขึ้น

อย่างไรก็ตาม วิธีการที่ดีที่สุดในการรับมือกับโรคข้อเสื่อม คือ “การป้องกันตั้งแต่ต้น” เพราะการป้องกันโรคย่อมดีกว่าการรักษาเสมอ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้มาก เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอในแบบที่ไม่เกิดแรงกระแทก เช่น ว่ายน้ำ เดินเร็ว หรือ
ขี่จักรยาน ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยไม่ทำร้ายข้อต่อ การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสมก็มีผลโดยตรงต่อข้อเข่า เพราะน้ำหนักที่มากขึ้นเพียง 1 กิโลกรัม จะเพิ่มแรงกดลงข้อเข่าถึง
4 เท่า

ในด้านโภชนาการ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ผักใบเขียว ผลิตภัณฑ์จากนม ถั่วเหลือง และปลาเล็กปลาน้อย รวมถึงอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ที่ช่วยลดการอักเสบของข้อต่อ และอาจพิจารณาการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น คอลลาเจนไทป์ 2 กลูโคซามีน หรือวิตามินดี ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

อย่าลืมว่า การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองได้ดีที่สุดในช่วงเวลานอนหลับ การนอนที่มีคุณภาพจึงช่วยลดอาการปวดข้อเรื้อรัง และฟื้นฟูเนื้อเยื่อรอบข้อได้ดียิ่งขึ้น การหลีกเลี่ยงท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธินาน ๆ หรือนั่งยอง ๆ ก็ช่วยลดแรงกดต่อข้อเข่าได้อย่างมาก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ข้ออ่อนแรงอยู่แล้ว

ท้ายที่สุดแล้ว การดูแลสุขภาพข้อกระดูกไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ควรปล่อยให้เกิดความเสื่อมจนสายเกินไป เราสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ ด้วยการสังเกตสัญญาณเตือนของร่างกาย หมั่นออกกำลังกาย ปรับพฤติกรรมการใช้ข้อให้เหมาะสม และพบแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ เพราะข้อที่ดีจะอยู่กับเราได้ตลอดชีวิต หากเราเริ่มดูแลตั้งแต่วันนี้

หรือหากต้องการปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญ สนใจปรึกษา โทร. 02-0340808 นั่นเพราะว่า กว่า 10 ปีที่ผ่านมาของโรงพยาบาลเอส สไปน์ ได้รวบรวมข้อมูลการรักษาโรคกระดูกสันหลังและข้อ จากผู้ป่วยมากกว่า 100,000 ราย ซึ่งมีความเข้าใจและพัฒนาเทคนิคการรักษาที่ปลอดภัยและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยนั่นเอง

เขียนและเรียบเรียง : นพ.สุทธวีร์ ปังคานนท์ แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและข้อ โรงพยาบาล เอส สไปน์

ติดตาม Business+ : https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+  : https://lin.ee/pbIHCuS

IG  : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

Youtube : https://www.youtube.com/@thebusinessplus7829

#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus #Business