Leadway

บริษัท ลีดเวย์ เฮฟวี่ แมชชีนเนอร์รี่ จำกัด กับการเดินครั้งสำคัญในตลาดรถไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์

ต้องยอมรับว่า รถหัวลากพลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ SANY TRUCK TRACTOR รุ่น EV490-25 ที่ทางบริษัท ลีดเวย์ เฮฟวี่ แมชชีนเนอร์รี่ จํากัด นำเข้ามาวางจำหน่ายไปเมื่อปีที่ผ่านมา ต้องถือว่า ผลิตภัณฑ์นี้ อัดแน่นไปด้วย “นวัตกรรม” ระดับโลกที่ผู้ใช้จะได้ประโยชน์มหาศาล

ถ้ามองจากการเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ในประเทศไทย เราจะเห็นถึงตัวเลขของการเติบโตที่น่าสนใจมาก เพราะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่า เรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งปัจจัยสนับสนุนให้เกิดประชากรพลเมืองของรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นนั่นเอง และเมื่อบวกกับสมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยม จึงไม่น่าแปลกใจว่า จากนี้เป็นต้นไป เราน่าจะได้เห็นตัวเลขของการเติบโตแบบมีนัยสำคัญ

ก้าวสำคัญของลีดเวย์ เฮฟวี่ แมชชีนเนอร์รี่
ปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีทองของบริษัท ลีดเวย์ เฮฟวี่ แมชชีนเนอร์รี่ จํากัด ผู้นำตลาดเครื่องจักรกลหนักในประเทศไทย และผู้จัดจำหน่ายหลักเครื่องจักรกลหนักอย่างเป็นทางการ ที่มองเห็นถึงโอกาสของตลาดในจุดนี้ จึงร่วมกับ ซานี่ กรุ๊ป ผู้ผลิตเครื่องจักรกลหนักยักษ์ใหญ่และรถบรรทุกไฟฟ้า ที่มีมาตรฐานสูง คุณภาพระดับโลก นำเข้ารถไฟฟ้าหัวลากเพื่อการพาณิชย์แบรนด์ SANY รุ่น EV490-25 มาจำหน่ายด้วยการนำเสนอจุดขายสำคัญ 5 ประการ  ประกอบด้วย

  1. ความสะดวกสบายในการขับขี่ ด้วยห้องโดยสารที่ออกแบบให้มีหลังคาสูง กว้างขวาง ขับขี่ได้ปลอดภัย ด้วยระบบขับเคลื่อน AMT และด้วยโครงสร้างจากอะลูมิเนียมประสิทธิภาพสูง เบาะนั่งแบบถุงลม รองรับการสั่นสะเทือนได้ดี นุ่มนวล
  2. ระบบอัจฉริยะ ด้วยระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ (อุปกรณ์เสริม) การปรับเปลี่ยนเกียร์แบบผันแปรตามน้ำหนักบรรทุก ชุดขับมอเตอร์ และระบบ ABS ช่วยให้ประหยัดพลังงาน พร้อมหน้าจอแสดงผล ขนาด 12 นิ้ว รวมฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ ในการควบคุมรถ
  3. เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ แรงม้าสูง สามารถขึ้นทางลาดชันได้สะดวก อัตราเร่งจาก 0-30 กม./ชม. ต่ำกว่า 4 วินาที ซึ่งผ่านการทดสอบบรรทุกหนักเป็นระยะทางกว่า 3,000,000 กิโลเมตร (ที่ประเทศจีน)
  4. โครงสร้างแชสซีส์น้ำหนักเบา ซึ่งออกแบบโดยใช้วัสดุน้ำหนักเบา แข็งแรง รองรับน้ำหนักบรรทุกได้มากขึ้น ช่วงล่างได้ออกแบบใช้จำนวนแหนบน้อยลง ทำให้การขับขี่มั่นคงขึ้น
  5. การเดินทางไกล ด้วยชุดควบคุมพลังงานประสิทธิภาพสูง ทำให้อัตราสิ้นเปลืองต่ำ การใช้งานบนทางเรียบด้วยน้ำหนักบรรทุกรวม 50.5 ตัน สามารถวิ่งได้ระยะทางมากกว่า 200 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ด้วยอัตราความเร็ว 60 กม./ชม. และข้อดีของความรวดเร็วจากสถานีสลับแบตเตอรี่อัจฉริยะ ที่มีระบบการจัดการในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้รวดเร็วไม่เกิน 2 นาที/ครั้ง และตู้ชาร์จแบตเตอรี่กำลังสูงสามารถชาร์จพลังงานได้รวดเร็วจาก 20%-80% ในเวลาไม่เกิน 50 นาที ด้วยระบบ Fast Charge

ขณะที่เมื่อมองถึงมิติของรถบรรทุกหัวลากพลังงานไฟฟ้า 100% ยี่ห้อ SANY รุ่น EV490-25 ที่มีมิติตัวรถยาว 2,545 มม. กว้าง 7,345 มม. ยาว 7,345 มม. กว้าง 2,545 มม. และสูง 3,715 มม. น้ำหนักรถเปล่า 10,800 กก. สามารถบรรทุกน้ำหนักรวม 50,500 กก. โดยที่การรับประกันตัวรถรับประกัน 5 ปี หรือ 400,000 กิโลเมตร และแบตเตอรี่ 5 ปี หรือ 800,000 kWh

“เรามองถึงการเปลี่ยนผ่านของรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ จากแบบสันดาปมาเป็นพลังงานไฟฟ้า แน่นอนว่า ผลิตภัณฑ์ SANY รุ่น EV490-25 มาพร้อมด้วยเทคโนโลยีทันสมัย คือ สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ (Battery Swapping Station) ที่ใช้ระยะเวลาในการสลับแบตเตอรี่ น้อยกว่า 2 นาที และตู้ชาร์จแบตเตอรี่กำลังสูง (DC Charging Station) ซึ่งเป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรงใช้ระยะเวลาในการชาร์จ 50 นาที (จาก 20%-80%) และด้วยจุดเด่นด้านเทคโนโลยีที่เหนือกว่าและทันสมัยกว่า สามารถจะช่วยลูกค้าลดต้นทุนการดำเนินงาน ขณะที่สามารถส่งเสริมการนำพลังงานสะอาดมาใช้อีกทางหนึ่งด้วย” คุณฉกาจ แสนจัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีดเวย์ เฮฟวี่ แมชชีนเนอร์รี่ จำกัด ให้ข้อมูลกับ Business+ พร้อมกับบอกว่า

“บริษัทฯ ตระหนักถึงนโยบายการรณรงค์เรื่องการลดภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นวาระของโลก และประเทศไทยได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับการสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ SANY รุ่น EV490-25 คือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่ง นอกเหนือจากการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นอันมาก และในระยะยาวลูกค้า เรามั่นใจว่าสามารถลดต้นทุนในการดำเนินการ โดยเฉพาะในขณะนี้ที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้น”

จากการสัมภาษณ์คุณฉกาจ เราพบว่า “รถไฟฟ้าหัวลากเพื่อการพาณิชย์ SANY รุ่น EV490-25 เป็นผลิตภัณฑ์รุ่นเบิกร่อง รุ่นนำร่อง สำหรับอุตสาหากรมหนักที่มีจุดขายมากมาย และทางลีดเวย์ฯ ก็เป็นผู้นำในตลาดนี้ และในปีนี้ทางบริษัทฯ จะเน้นสื่อสารการตลาดให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจสินค้า และเห็นความโดดเด่นของสินค้า อีกทั้งยังจะพัฒนาระบบการซื้อขายหรือบริการหลังการขาย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคมากขึ้น”