MICHELIN ชู 3 แกนหลัก ผลักดันธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

การผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบรอบด้านเพื่อสร้างความยั่งยืนให้ครอบคลุมทั้งการพัฒนาบุคลากรภายในองค์กร การสร้างผลกำไรเพื่อนำมาต่อยอดในการพัฒนาสินค้าและบริการ และการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในเรื่องนี้ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด เล็งเห็นถึงความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ

คุณชาญวิทย์ สุขุมรัตนาพร Thailand B2C Marketing Director บริษัท สยามมิชลิน จำกัด เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการบริหารธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนภายใต้แนวคิด “All Sustainable” ซึ่งประกอบด้วย 3 แกนหลัก ได้แก่

  1. People การให้ความสำคัญกับบุคลากรภายในองค์กรโดยครอบคลุมทั้ง Diversity, Inclusivity และ Equity คือการดูแลให้พนักงานได้รับความเท่าเทียมทั้งในด้านของการจ้างงาน รวมถึงการยอมรับในความหลากหลายของบุคคล อีกทั้งการตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานจะได้รับความปลอดภัยในการทำงาน และมีสิ่งแวดล้อมที่ดีในสถานที่ทำงาน
  2. Profit การดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีกำไรที่เพียงพอต่อการพัฒนาธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งหมายถึงกำไรจากผลประกอบการ กำไรที่มอบให้กับผู้ถือหุ้น รวมถึงกำไรที่มอบกลับคืนสู่สังคม

“ในเรื่องของ Profit มิชลินไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่บริษัทที่ผลิตยางเพียงอย่างเดียว แต่ยังมองไปถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจยางด้วย เช่น ธุรกิจ Fleet ธุรกิจ Fast Fit ยาง หรือธุรกิจที่มีการดูแล Fleet ครบวงจร รวมถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของยาง และธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับยาง อาทิ ธุรกิจด้าน Service Experience ต่าง ๆ ได้แก่ มิชลินไกด์ มิชลินสตาร์ แผนที่ หรือแม้แต่ Recommendation ที่เป็นบริการจากมิชลิน ต่างก็มีส่วนในการสร้างความยั่งยืนในแง่ของการทำกำไรให้กับบริษัทด้วยกันทั้งสิ้น นอกจากนี้ในอนาคต ธุรกิจของมิชลินจะอยู่ภายใต้ธีม ‘Life-changing composites’ คือการสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ สินค้าใหม่ ๆ ที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของผู้คนได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ธุรกิจยางเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึง  Medical, Medical Supplies, Equipment หรือธุรกิจอื่น ๆ ที่ทำให้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้”

  1. Planet การคำนึงถึงกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่ก่อนการผลิต การผลิตสินค้า รวมถึงภายหลังจากสินค้าถูกจำหน่ายออกไป และถูกนำไปใช้งาน จนกระทั่งสินค้าหมดอายุการใช้งาน ไปจนถึงกระบวนการทำลาย ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งรวมไปถึงวัสดุที่นำมาใช้ในการผลิตยางทั้งหมดก็จะต้องเป็นวัสดุยั่งยืน คือ สามารถนำไปรีไซเคิลได้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันนโยบาย Net Zero ภายในปี 2050 ที่มิชลินได้ประกาศไว้

 

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ภายใต้แบรนด์ ‘MICHELIN’

ปัจจุบันตลาดรถยนต์ EV มีการเติบโตเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ที่ผลิตมาเพื่อรถยนต์ EV โดยเฉพาะ แต่ในขณะเดียวกัน ‘MICHELIN’ ซึ่งเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์มีแนวคิดในการผลิตสินค้าที่แตกต่างออกไป คือ มุ่งเน้นไปที่การผลิตสินค้าที่ผู้บริโภคทุกคนสามารถใช้งานได้ ภายใต้หลักการ คือ การทำให้ง่ายสำหรับผู้บริโภค และง่ายสำหรับผู้แทนจำหน่ายในการแนะนำผู้บริโภคให้ได้ยางที่มีคุณภาพดี มีความเหมาะสมต่อการใช้งาน รวมถึงการเก็บสต็อกยางให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค โดยการทำให้ยางทุกเส้นสามารถนำไปใช้กับรถ EV ที่มีความต้องการด้านสมรรถนะของยางเป็นพิเศษในบางเรื่องได้ด้วย ทั้งในด้านอายุการใช้งานที่ยาวนาน การประหยัดพลังงาน ความนุ่มเงียบในห้องโดยสาร

ทั้งหมดนี้คือการทำให้ยางมีประสิทธิภาพโดยรวมครบทุกด้าน ครบทุกสมรรถนะ โดยไม่สูญเสียสมรรถนะใด ๆ ไป เพื่อให้เกิด Benefit Optimization ที่ผู้บริโภคต้องการได้มากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดนวัตกรรมยางยั่งยืนของมิชลินในเรื่องของ Performance Made To Last หรือ PMTL เพื่อให้ยางทุกเส้นของมิชลินมอบความมั่นใจให้กับผู้ใช้ทั้งในด้านความปลอดภัย และสมรรถนะที่ดีเยี่ยมยาวนาน ตั้งแต่วันแรกที่ใช้จนถึงวันเปลี่ยนยางรอบถัดไป ซึ่งเป็นการช่วยลดขยะที่เกิดจากยางไปในตัว

“หลาย ๆ คนยังเข้าใจว่ารถ EV จะต้องใช้ยางที่ผลิตออกมาเฉพาะรถ EV เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วรถ EV ไม่ได้ต้องการยาง EV แต่ต้องการยางมิชลิน เนื่องจากเป็นยางที่มีสมรรถรอบด้าน รวมถึงนวัตกรรม Performance Made To Last หรือ PMTL ที่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพของยางได้ตั้งแต่ยางใหม่จนถึงยางหมดดอก ซึ่งมอบความคุ้มค่าให้กับผู้ที่เลือกยางมิชลิน เพราะเป็นยางที่จะทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้รถได้อย่างเต็มสมรรถภาพ และยังใช้สมรรถภาพของยางได้อย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน อีกทั้งสมรรถภาพที่ใช้นั้นยังถูกคืนกลับสู่โลกในเรื่องแง่ของการลดขยะ ลดทรัพยากรให้กับโลกอีกด้วย” คุณชาญวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย