6 เทคโนโลยี เปลี่ยนผ่านการศึกษาหลังการระบาดจบ 5 เทรนด์สำคัญของการศึกษาในยุคใหม่

ศตวรรษที่ 21 จะเป็นช่วงเวลาที่รูปแบบการศึกษาเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงจากรูปแบบเดิม ๆ หลักสูตรการเรียนที่ตายตัวและนำมาใช้กับทุกคนเหมือนกันหมดจะไม่สามารถใช้งานได้อีกแล้ว สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่จะกลายเป็นการเรียนแบบกลุ่มขนาดเล็กมากขึ้น การเรียนรู้จะมีอิสระมากขึ้น ขอบเขตความรู้จะกว้างมากขึ้น แม้การระบาดจะทำให้การศึกษาหยุดชะงักไปบ้าง แต่มันก็ได้เปิดเผยศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของนวัตกรรมและเทคโนโลยีซึ่งจะมาเป็นผู้กำหนดโครงสร้างและรูปแบบการเรียนรู้ใหม่ ๆ จากนี้ของคนรุ่นหลัง

จากการสำรวจของ Researchandmarkets เว็บไซต์ข้อมูลระดับโลกได้ประเมินตลาด เทคโนโลยีการศึกษาและห้องเรียนอัจฉริยะ (The EdTech & Smart Classroom) ในปี 2020 ที่ผ่านมามีมูลค่าอยู่ที่ 83,610 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจบปี 2021 จะมีมูลค่าอยู่ที่ 99,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอุตสาหกรรมกลุ่มนี้จะมีอัตราการเติบโตประจำปี (CAGR) อยู่ที่ 19.34% นั้นจะทำให้มูลค่าพุ่งขึ้นไปถึง 241,580 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อจบปี 2026

โดยการใช้จ่ายทั่วโลกในตลาดนี้คาดว่าจะมีมากถึง 195,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2026 ซึ่งประเทศจีนถูกคาดว่าจะมีการเติบโตของการใช้จ่ายด้าน EDTECH มากถึง 15.6% ต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่ญี่ปุ่นอยู่ที่ 14.5% แคนาดาอยู่ที่ 14% และเยอรมันอยู่ที่ 11.9%

ด้าน Cbinsights อีกหนึ่งบริษัทข้อมูลระดับโลกก็เผยว่าจะมี 6 เทคโนโลยีสำคัญที่จะเข้ามาเปลี่ยนผ่านการศึกษาหลังการระบาดจบ

1. การเรียนออนไลน์ถูกเข้าถึงมากขึ้นรวมไปถึงคุณสมบัติของผู้เรียนจะกว้างขึ้น
การเรียนทางไกลจากนี้จะเพิ่มสูงขึ้นจากแรงกดดันของโรคระบาด ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน คุณครู และผู้ปกครอง ต่างจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้นซึ่งจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงบริบทของอุตสาหกรรมนี้ไป โดยบริษัทด้านเทคโนโลยีจำนวนมากจะเข้ามาปิดช่องว่างตรงนี้หลาย ๆ ทาง ผ่าน 1. การใช้ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ 2. คอร์สออนไลน์จะมีเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล 3. การเรียนรู้นอกห้องจะเข้ามาเพิ่ม 4. การยกระดับความก้าวหน้าของออนไลน์ไปอีกขั้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้การศึกษาออนไลน์ในอนาคตอันใกล้ต่างไปจากเดิมอย่างมหาศาล รวมไปถึงนักเรียนในอนาคตก็ไม่ใช่แค่เด็ก ๆ อย่างที่เราเข้าใจกันอีกแล้ว

2. การมาของ VR และ AR จะเพิ่มการมีส่วนร่วมโดยนำการเรียนรู้ไปสู่ชีวิตจริง
VR จะสร้างโลกที่มีสภาพแวดล้อม 3 มิติ ขณะที่ AR จะช่วยสร้างองค์ประกอบด้านภาพที่เห็น เสียง และเนื้อหาหรือข้อความไปยังสภาพแวดล้อมของผู้ใช้งาน ซึ่งนี่จะเป็นการเร่งการเรียนรู้ของบุคคลให้ก้าวกระโดดและจะเกิดพร้อมกันทั่วทั้งการศึกษา โดยเฉพาะ VR จะทำให้เด็กนักเรียนสามารถปรับปรุงการเรียนรู้การมีส่วนร่วมผ่านการให้นักเรียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่ใช้ในการเรียนการสอนด้วยตนเอง

3. เทคโนโลยีชีวมิติ (Biometrics) และเทคโนโลยีจดจำใบหน้า สามารถช่วยให้นักเรียนทั้งหลายมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่สนใจและปรับปรุงความปลอดภัยเทคโนโลยีชีวมิติ (Biometrics) และเทคโนโลยีจดจำใบหน้า จะสแกนข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดวงตา และลายนิ้วมือมาเก็บเอาไว้ โดยทุกสิ่งจะถูกรวมอยู่บนคลาวด์แอปพลิเคชัน ซึ่งมันจะสามารถช่วยคุณครูระบุได้ว่านักเรียคนไหนสนใจเรียนในวิชาอะไร และไม่สนใจในวิชาอะไร ข้อมูลตรงนี้จะนำไปสู่การออกแบบการเรียนการสอนให้เหมาะกับนักเรียนคนนั้น ๆ มากขึ้น

4. นำเกมเข้ามาประยุตก์ใช้ในการเรียนการสอน (Gamification)
การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงาน การเรียน หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตให้คล้ายกับลักษณะของเกม ซึ่งตรงนี้จะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจอยากจะเรียนรู้และมีส่วนร่วมมากขึ้น นอกจากนี้นักเรียนก็จะได้รับรู้ผลลัพธ์การเรียนรู้ของตนเองในทันที ทำให้ลดเวลาการเรียนรู้จากการเรียนรูปแบบเดิมได้มากถึง 10 เดือนบนเป้าหมายเดียวกันของตัวเองโดยตลาดนี้ถูกคาดว่าในปี 2023 จะมีมูลค่าสูงถึง 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าจากปี 2018 ที่ 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

5. ปัญญาประดิษฐ์จะใช้ข้อมูลเพิ่มการตัดสินใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
อุตสาหกรรมการศึกษาจะนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาทดลองการใช้งานกันมากขึ้น โดยบางสถาบันการศึกษาจะนำเอามาช่วยออกแบบการเรียนส่วนบุคคล ปรับปรุงต้นทุนการเรียนการสอน และเพิ่มความทั่วถึงของบทเรียน รวมไปถึงสร้างความหลากหลายเพื่อรองรับอาชีพใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นอีกด้วย

6. มหาวิทยาลัยอัจฉริยะที่มีอุปกรณ์เทคโนโลยีช่วยยกระดับและใช้ข้อมูลเพื่อเชื่อมโยงประสบการณ์ มหาวิทยาลัยอัจฉริยะจะมีการเชื่อมต่อแบบดิจิทัลซึ่งอุปกรณ์ต่าง ๆ และข้อมูลจะทำงานร่วมกันเพื่อส่งมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่มากขึ้นไปให้กับนักเรียน รวมไปถึงการลดต้นทุนให้กับสถาบันการศึกษา และสร้างการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพให้เกิดขึ้นในที่สุด

ขณะที่ข้อมูลจากบริษัท Lightspeed Venture Partners ซึ่งเป็นบริษัทที่ลงทุนในแพลตฟอร์มเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการเปลี่ยนผ่านทั่วโลก เผย 5 เทรนด์สำคัญของการศึกษาในยุคใหม่ ดังนี้

1. การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์การขับเคลื่อนสังคมและชุมชน

ผู้บริโภคยุคใหม่ทั้งหลายจะมีความหิวกระหายต่อการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์การขับเคลื่อนสังคมและชุมชนอย่างแท้จริง นั่นทำให้แพลตฟอร์มการศึกษาจะต้องทำงานร่วมกันกับชุมชนการเรียนรู้ขนาดเล็กในการสร้างสิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไปเพื่อให้มากกว่าแค่ความรู้ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงบริการการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานอีกด้วย โดยบริการนี้จะเชื่อมผู้เรียนรู้ที่กำลังเรียนรู้บนหัวข้อเดียวกันเข้าหากันเพื่อสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน บริษัทกลุ่ม Edutainment ทั้งหลายที่มาพร้อมกับการส่งมอบประสบการณ์เฉพาะตัวที่แข็งแกร่งจะพลาดโอกาสครั้งใหญ่ในการคว้าผลประโยชน์จากการเรียนรู้ผ่านการขับเคลื่อนสังคมและชุมชน ธุรกิจการศึกษายุคใหม่ต้องการชุมชน เพราะมันมีประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้สังคมของจริงฝังเอาไว้

2. จากบริษัทสู่ลูกค้า (B2C) เป็นบริษัทสู่บริษัท (B2B)

หลังจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ เร่งเครื่องหาลูกค้าผ่านการทำธุรกิจในลักษณะ B2C กันไปแล้ว ในขั้นต่อไปบริษัทเหล่านี้จะขยับขึ้นไปหากลุ่มธุรกิจด้วยกัน หรือ B2B มากขึ้น ซึ่งตรงนี้ผู้ชนะที่แท้จริงหรือสามารถคว้ารายได้ต่อปีจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งจำเป็นจะต้องมีแบรนด์ที่แข็งแรง แบรนด์ที่แข็งแรงจะทำให้พวกเขาสามารถขยายการเติบโตออกไปได้อย่างรวดเร็วกว่าคู่แข่ง

3. การศึกษาแบบลูกผสม

พวกเราเห็นสตาร์ตอัปจำนวนมากที่ได้เงินทุนจำนวนมหาศาลในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นสร้างซอฟต์แวร์พิเศษที่มีลักษณะเฉพาะสำหรับการเรียนผ่านการถ่ายทอดสด ตัวอย่างเช่น ซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มอย่าง Engageli และ ClassEDU ซึ่งสร้างห้องสำหรับการเรียนการสอนแบบถ่ายทอดสดบนแอปพลิเคชัน ZOOM นั่นทำให้มีความเป็นไปได้ว่าหากปรากฏผู้เล่นในลักษณะนี้ออกมาอีกก็น่าจะถูกสร้างอยู่บนแพลตฟอร์มอื่น ๆ อย่าง Google Classroom, Hangouts และ Microsoft Teams เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ เพราะทั้ง Apple และ Google ต่างก็ให้ความสนใจในธุรกิจการศึกษาอยู่แล้ว

4. ลดภาระให้กับพ่อแม่และเป็นส่วนเสริมของการเรียนรู้แบบดั้งเดิม

รูปแบบการศึกษาแบบใหม่จะดึงดูดให้พ่อแม่เข้ามามีส่วนร่วม การศึกษามีความสนุกมากขึ้น กำจัดจุดอ่อนที่เกิดขึ้นกับระบบการศึกษาดั้งเดิม นั่นทำให้การศึกษาของคนยุคใหม่ที่จะมีลักษณะเฉพาะมากขึ้น ตรงกับความต้องการของผู้เรียนมากขึ้น จากการดึงพ่อแม่และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเมื่อรู้จักตัวเองมากขึ้นหรือรู้ว่าลูกถนัดอะไรชอบอะไร การลงทุนของพ่อแม่ก็จะเจาะจงไปเสริมแกร่งตรงจุดนั้นได้เลย ไม่ต้องเรียนกระจัดกระจายเหมือนในสมัยก่อน และสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับมาเป็นชิ้นเป็นอัน

5. โรงเรียนขนาดเล็ก

หนึ่งในพื้นฐานสำคัญของเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษาในยุคหน้าคือการเปลี่ยนความคิดเรื่องรูปแบบโครงสร้างโรงเรียนของพวกเราทั้งหลายเสียใหม่ แม้ว่าการเรียนจากที่บ้านจะเป็นอะไรที่เติบโตอย่างมากในช่วงของการระบาดตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา แต่เห็นได้ชัดเจนว่ามันยังมีจุดไม่ลงตัวอีกพอสมควร สังเกตได้จากเสียงสะท้อนของเด็กนักเรียนที่ยังคงรู้สึกไม่มีความสุขกับการเรียนรู้รูปแบบนี้จนนำไปสู่ผลการเรียนที่ตกต่ำลงในบางกลุ่ม นั่นทำให้หลายฝ่ายมองว่าจุดต่างระหว่างการเรียนอยู่ที่บ้านและความเป็นโรงเรียนส่วนตัว (เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีกลุ่มนักเรียนน้อยกว่าโรงเรียนในปัจจุบัน) อาจเป็นคำตอบในอนาคตอันใกล้นี้

เขียนและเรียบเรียง : เอกพล มงคลพัฒนกุล

ข้อมูล : Cbinsights, Lightspeed Venture Partners

ติดตาม Business+ ได้ที่ thebusinessplus.com
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHCuS

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #Edtech #เทคโนโลยีการศึกษา