แสนสิริ ในยุค 4.0 ขอเป็น Tesla

การวางจุดยืนทางการตลาดของแสนสิริที่ชัดเจนในการเป็น Premium Brand ผนวกกับการสื่อสารทางการตลาดที่สอดรับกับโพสิชันนิ่งนับตั้งแต่แรกเริ่มที่รุกเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทย ทำให้เมื่อนึกถึงแสนสิริ ภาพของแบรนด์ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมก็ลอยเด่นอยู่ในใจผู้บริโภคอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ในยุคที่ทุกลมหายใจเข้าออกของผู้บริโภคติดกับเทคโนโลยีดิจิทัล ภาพของแสนสิริที่มีเพียงความหรูหราอาจไม่เพียงพอที่จะเกาะกุมหัวใจของลูกค้ากลุ่มนี้ได้ ทำให้แสนสิริในยุค 4.0 ต้องลุกขึ้นมา Shift Up ตัวเองให้พรีเมียมและก้าวล้ำทันสมัยยิ่งขึ้น ซึ่งหากเปรียบกับรถยนต์แล้ว เกมนี้แสนสิริขอเป็น Tesla กันเลยทีเดียว

หากนึกถึงแบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมียมในเมืองไทย แน่นอนว่าหลายคนคงนึกถึงรถยนต์ยี่ห้อ Benz และ BMW ซึ่งมีความหรูหราอย่างมาก แต่สำหรับ Tesla แล้ว ต้องบอกว่าเป็นลักซ์ชัวรี่คาร์สุดหรูที่เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมไฮเทคสุดล้ำ ซึ่งการที่แสนสิริจะ Shift Up ตัวเองขึ้นไปเป็น Tesla นั้น เรียกว่าต้องทำการบ้านอย่างหนักทีเดียว แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ !! เพราะห้วงเวลานี้เพลย์เยอร์ที่เคยเล่นอยู่ในตลาดระดับกลางและล่าง ก็พยายาม Move ขึ้นมาเล่นในตลาดระดับไฮเอนด์มากขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่อง เมื่อรวมกับปัจจัยด้านพฤติกรรมผู้ซื้อบ้านยุคดิจิทัลที่แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก ดังนั้น ทางออกเดียวที่แสนสิริจะทำได้ยามนี้คือ ต้องนำพาตัวเองให้เหนือระดับคู่แข่งยิ่งกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นก็อยู่ได้อย่างยากลำบากเช่นกัน "ปีนี้เป็นปีที่เรามีการ Transform มีการนำนวัตกรรมหลาย ๆ อย่างเข้ามาใช้ เราต้องการพัฒนาตัวเองไปกับโลก และทำให้ทุกคนมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเราอยากเดินไปข้างหน้าตลอดเวลา เราไม่อยากจะอยู่ในโลกที่ Disease เพราะการเปลี่ยนแปลงเหมือนไดโนเสาร์ ถ้าหยุดก็ตายไปตามกาลเวลา ดังนั้นเราต้องการความแตกต่าง ความใหม่ และการศึกษาที่ครอบคลุม" อภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บอกถึงความท้าทายและทิศทางของแสนสิริที่จะก้าวเดินไปต่อจากนี้ ซึ่งย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าถึงเวลาที่แสนสิริต้องปรับตัวเอง หากต้องการอยู่รอดในสังเวียนนี้อย่างสง่างามต่อไป !! แน่นอนว่า กระบวนการขับเคลื่อนแสนสิริครั้งใหม่สู่การเป็นแบรนด์ระดับเวิลด์คลาสที่ควงคู่มากับนวัตกรรมสุดล้ำนั้น จะต้องวางยุทธศาสตร์ที่รัดกุมและพร้อมด้วยศาสตราวุธครบทุกมิติ สำหรับสเต็ปแรกนั้น แสนสิริได้มีการจัดทัพทีมผู้บริหารใหม่ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยยุคใหม่ได้ครอบคลุมทุกมิติยิ่งขึ้น โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 4 สาย ได้แก่ งานการบริหารพัฒนาโครงการทั้งปัจจุบันและในอนาคต มี “อุทัย อุทัยแสงสุข” รับผิดชอบ ขณะที่การบริหารด้านการการเงิน มี “วันจักร์ บุรณศิริ” รับผิดชอบ ส่วนการบริหารด้านกลยุทธ์การตลาด เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงกลุ่ม มี “อรุณภรณ์ ลิ่มสกุล” รับผิดชอบ และการบริหารด้านเทคโนโลยี มี “ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง” รับผิดชอบ นอกจากการจัดทัพทีมผู้บริหารใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญในอสังหายุคใหม่ที่เปลี่ยนไปแล้ว แสนสิริยังรุกจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาอีกด้วย โดยหน่วยงานนี้มีชื่อว่า “Data Analytics and Business Intelligence” หลังต้นปีผ่านมาได้ผนึกกับไทยพาณิชย์ เปิดตัว สิริ เวนเจอร์ โดยหน่วยงานนี้ถูกวางให้เป็นหน่วยรบพิเศษ ที่จะเข้ามาค้นหานวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่จะมาต่อยอดใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงสตาร์ทอัพด้าน Property Tech เพื่อทำให้แสนสิริสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น “ที่ผ่านมาเราใช้ข้อมูลมาตลอด แต่เราเห็นความสำคัญของข้อมูลมากขึ้น เพราะข้อมูลจะทำให้เห็น Insight มิติต่าง ๆ หลายอย่าง เดิมทีเราอาจจะเข้าใจจากประสบการณ์ แต่อีกหลายอย่างเราอาจจะไม่รู้ ประสบการณ์ที่เราเคยคิดว่าต้องเป็นแบบนี้ เมื่อเราเจาะลึกลงไปอาจจะเป็นอีกมิติหนึ่งซึ่งอาจไม่เคยรับทราบมาก่อน ที่สำคัญเรามองไปถึงว่า ต่อไปข้อมูลจะเป็น Asset สำคัญของทุกองค์กรที่จะแข่งขันกันในอนาคต ใครที่มีข้อมูล เข้าใจ และสามารถใช้ข้อมูลเพื่อสร้างความแตกต่างในธุรกิจได้ ก็จะเป็นผู้นำในอนาคต” เป็นคำบอกเล่าของ ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดาต้า อนาไลติกส์ และมากไปกว่านั้นแล้ว แสนสิริยังเชื่อด้วยว่า ในอนาคตเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้จะสามารถต่อยอดสร้างรายได้จากบริการใหม่ ๆ นอกเหนือไปจากการขายSpace หรือ Property แบบเดิม ๆ ดร. ทวิชา ได้หยิบยกตัวอย่างนวัตกรรมแรกที่แสนสิริได้พัฒนาขึ้นเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา เพื่อชิมลางพฤติกรรมผู้ซื้อบ้านยุคใหม่นั่นคือ Home Service Application ซึ่งเป็นโมบายแอพพลิเคชันที่ให้บริการส่งข้อความแจ้งข่าวสาร รวมถึงบริการควบคุมสั่งงานระบบอัจฉริยะภายในบ้านให้กับลูกบ้านแสนสิริกว่า 20,000 รายในปัจจุบัน และปัจจุบันได้เดินหน้าต่อยอด Home Service Application ให้มีความฉลาด และมีบริการหลังการขายใหม่ ๆ ให้เลือกใช้กว่า 60 ฟังก์ชัน นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาหุ่นยนต์ “น้องแสนดี” มาให้บริการส่งอาหารและของถึงหน้าประตูลูกบ้านในโครงการ The Monument สนามเป้าเป็นครั้งแรกด้วย ก่อนจะขยายไปยังโครงการอื่น ๆ ซึ่ง ดร. ทวิชา ยอมรับว่า ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีน การปรับใช้หุ่นยนต์ส่งของได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคชาวไทยเป็นกลุ่มที่เปิดรับเทคโนโลยีจากต่างชาติได้อย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน จึงมองว่าน่าจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดี นอกจากการนำหุ่นยนต์แสนดีมาให้บริการกับลูกบ้านแล้ว แสนสิริยังมีแผนจะนำ “เทคโนโลยีสั่งการด้วยเสียง” มาปรับใช้ในโครงการอีกด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทเทคโนโลยีจากต่างประเทศหลาย ๆ คาดว่าจะชัดเจนในปลายปีนี้ และเมื่อถึงห้วงเวลานั้น ดร. ทวิชา เชื่อว่าจะทำให้ภาพใหม่ของแสนสิริมีความชัดเจนมากขึ้น คงต้องจับตาดูกันว่า ภาพใหม่ของแสนสิริในอสังหายุค 4.0 จะประสบความเร็จหรือไม่ แต่หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนอสังหาในยุคดิจิทัลนั้นอยู่ที่ “นวัตกรรม” ซึ่งหากนวัตกรรม Property Tech ที่แสนสิริพัฒนาออกมาสามารถตอบโจทย์ลูกบ้านแล้วละก็ การ Shift Up ของแสนสิริขึ้นไปเป็น Tesla ก็มีลุ้นและเป็นไปได้แน่ !!

หากนึกถึงแบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมียมในเมืองไทย แน่นอนว่าหลายคนคงนึกถึงรถยนต์ยี่ห้อ Benz และ BMW ซึ่งมีความหรูหราอย่างมาก แต่สำหรับ Tesla แล้ว ต้องบอกว่าเป็นลักซ์ชัวรี่คาร์สุดหรูที่เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมไฮเทคสุดล้ำ ซึ่งการที่แสนสิริจะ Shift Up ตัวเองขึ้นไปเป็น Tesla นั้น เรียกว่าต้องทำการบ้านอย่างหนักทีเดียว แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ !!

เพราะห้วงเวลานี้เพลย์เยอร์ที่เคยเล่นอยู่ในตลาดระดับกลางและล่าง ก็พยายาม Move ขึ้นมาเล่นในตลาดระดับไฮเอนด์มากขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่อง เมื่อรวมกับปัจจัยด้านพฤติกรรมผู้ซื้อบ้านยุคดิจิทัลที่แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก ดังนั้น ทางออกเดียวที่แสนสิริจะทำได้ยามนี้คือ ต้องนำพาตัวเองให้เหนือระดับคู่แข่งยิ่งกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นก็อยู่ได้อย่างยากลำบากเช่นกัน

“ปีนี้เป็นปีที่เรามีการ Transform มีการนำนวัตกรรมหลาย ๆ อย่างเข้ามาใช้ เราต้องการพัฒนาตัวเองไปกับโลก และทำให้ทุกคนมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเราอยากเดินไปข้างหน้าตลอดเวลา เราไม่อยากจะอยู่ในโลกที่ Disease เพราะการเปลี่ยนแปลงเหมือนไดโนเสาร์ ถ้าหยุดก็ตายไปตามกาลเวลา ดังนั้นเราต้องการความแตกต่าง ความใหม่ และการศึกษาที่ครอบคลุม”

อภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บอกถึงความท้าทายและทิศทางของแสนสิริที่จะก้าวเดินไปต่อจากนี้ ซึ่งย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าถึงเวลาที่แสนสิริต้องปรับตัวเอง หากต้องการอยู่รอดในสังเวียนนี้อย่างสง่างามต่อไป !!

แสนสิริ ในยุค 4.0 ขอเป็น Tesla
อภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

แน่นอนว่า กระบวนการขับเคลื่อนแสนสิริครั้งใหม่สู่การเป็นแบรนด์ระดับเวิลด์คลาสที่ควงคู่มากับนวัตกรรมสุดล้ำนั้น จะต้องวางยุทธศาสตร์ที่รัดกุมและพร้อมด้วยศาสตราวุธครบทุกมิติ

สำหรับสเต็ปแรกนั้น แสนสิริได้มีการจัดทัพทีมผู้บริหารใหม่ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยยุคใหม่ได้ครอบคลุมทุกมิติยิ่งขึ้น โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 4 สาย ได้แก่ งานการบริหารพัฒนาโครงการทั้งปัจจุบันและในอนาคต มี “อุทัย อุทัยแสงสุข” รับผิดชอบ ขณะที่การบริหารด้านการการเงิน มี “วันจักร์ บุรณศิริ” รับผิดชอบ ส่วนการบริหารด้านกลยุทธ์การตลาด เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงกลุ่ม มี “อรุณภรณ์ ลิ่มสกุล” รับผิดชอบ และการบริหารด้านเทคโนโลยี มี “ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง” รับผิดชอบ

นอกจากการจัดทัพทีมผู้บริหารใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญในอสังหายุคใหม่ที่เปลี่ยนไปแล้ว แสนสิริยังรุกจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาอีกด้วย โดยหน่วยงานนี้มีชื่อว่า “Data Analytics and Business Intelligence” หลังต้นปีผ่านมาได้ผนึกกับไทยพาณิชย์ เปิดตัว สิริ เวนเจอร์ โดยหน่วยงานนี้ถูกวางให้เป็นหน่วยรบพิเศษ ที่จะเข้ามาค้นหานวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่จะมาต่อยอดใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงสตาร์ทอัพด้าน Property Tech เพื่อทำให้แสนสิริสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น

“ที่ผ่านมาเราใช้ข้อมูลมาตลอด แต่เราเห็นความสำคัญของข้อมูลมากขึ้น เพราะข้อมูลจะทำให้เห็น Insight มิติต่าง ๆ หลายอย่าง เดิมทีเราอาจจะเข้าใจจากประสบการณ์ แต่อีกหลายอย่างเราอาจจะไม่รู้ ประสบการณ์ที่เราเคยคิดว่าต้องเป็นแบบนี้ เมื่อเราเจาะลึกลงไปอาจจะเป็นอีกมิติหนึ่งซึ่งอาจไม่เคยรับทราบมาก่อน ที่สำคัญเรามองไปถึงว่า ต่อไปข้อมูลจะเป็น Asset สำคัญของทุกองค์กรที่จะแข่งขันกันในอนาคต ใครที่มีข้อมูล เข้าใจ และสามารถใช้ข้อมูลเพื่อสร้างความแตกต่างในธุรกิจได้ ก็จะเป็นผู้นำในอนาคต”

ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

เป็นคำบอกเล่าของ ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดาต้า อนาไลติกส์ และมากไปกว่านั้นแล้ว แสนสิริยังเชื่อด้วยว่า ในอนาคตเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้จะสามารถต่อยอดสร้างรายได้จากบริการใหม่ ๆ นอกเหนือไปจากการขายSpace หรือ Property แบบเดิม ๆ

ดร. ทวิชา ได้หยิบยกตัวอย่างนวัตกรรมแรกที่แสนสิริได้พัฒนาขึ้นเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา เพื่อชิมลางพฤติกรรมผู้ซื้อบ้านยุคใหม่นั่นคือ Home Service Application ซึ่งเป็นโมบายแอพพลิเคชันที่ให้บริการส่งข้อความแจ้งข่าวสาร รวมถึงบริการควบคุมสั่งงานระบบอัจฉริยะภายในบ้านให้กับลูกบ้านแสนสิริกว่า 20,000 รายในปัจจุบัน และปัจจุบันได้เดินหน้าต่อยอด Home Service Application ให้มีความฉลาด และมีบริการหลังการขายใหม่ ๆ ให้เลือกใช้กว่า 60 ฟังก์ชัน

นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาหุ่นยนต์ “น้องแสนดี” มาให้บริการส่งอาหารและของถึงหน้าประตูลูกบ้านในโครงการ The Monument สนามเป้าเป็นครั้งแรกด้วย ก่อนจะขยายไปยังโครงการอื่น ๆ ซึ่ง ดร. ทวิชา ยอมรับว่า ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีน การปรับใช้หุ่นยนต์ส่งของได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคชาวไทยเป็นกลุ่มที่เปิดรับเทคโนโลยีจากต่างชาติได้อย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน จึงมองว่าน่าจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดี

นอกจากการนำหุ่นยนต์แสนดีมาให้บริการกับลูกบ้านแล้ว แสนสิริยังมีแผนจะนำ “เทคโนโลยีสั่งการด้วยเสียง” มาปรับใช้ในโครงการอีกด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทเทคโนโลยีจากต่างประเทศหลาย ๆ คาดว่าจะชัดเจนในปลายปีนี้ และเมื่อถึงห้วงเวลานั้น ดร. ทวิชา เชื่อว่าจะทำให้ภาพใหม่ของแสนสิริมีความชัดเจนมากขึ้น

คงต้องจับตาดูกันว่า ภาพใหม่ของแสนสิริในอสังหายุค 4.0 จะประสบความเร็จหรือไม่ แต่หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนอสังหาในยุคดิจิทัลนั้นอยู่ที่ “นวัตกรรม” ซึ่งหากนวัตกรรม Property Tech ที่แสนสิริพัฒนาออกมาสามารถตอบโจทย์ลูกบ้านแล้วละก็ การ Shift Up ของแสนสิริขึ้นไปเป็น Tesla ก็มีลุ้นและเป็นไปได้แน่ !!