เอมี่ ฉัตทิญาณ์ ไผ่แตกกอของสมบูรณ์ นววัฒนทรัพย์

ไม่บ่อยนักที่ลูกหลานนักธุรกิจไทย จะเดินออกจากธุรกิจกงสี ที่รุ่นพ่ออุตสาห์เพียรมานะสร้างอาณาจักรทิ้งไว้ให้ดูแล แต่เพื่อตามหาฝัน “เอมมี่” หรือฉัตทิญาณ์ นววัฒนทรัพย์ ลูกสาวคนสวยของสมบูรณ์ นววัฒนทรัพย์ ผู้ก่อตั้งบริษัท ครีเอชั่นบีจูส์ จำกัด ผู้ค้าอัญมณีชื่อดัง และยังเป็นเครือญาติเดียวกับผู้ค้าทองอันดับต้นๆ ของไทยอย่าง วายแอลจี กรุ๊ป ขอเลือกทางเดินชีวิตด้วยการเป็นเถ้าแก่ตัวเอง

อมมี่หรือฉัตทิญาณ์ นววัฒนทรัพย์ อาจเป็นนักธุรกิจหน้าใหม่เหมือนเช่น Start up ทั่วๆ ไป ที่กำลังมองหาเส้นทางเดินชีวิตของตัวเอง แต่การที่เธอมีนามสกุล “นววัฒนทรัพย์” พ่วงมาด้วย ยิ่งทำให้เธอน่าค้นหาเพิ่มขึ้น

เอมมี่หรือฉัตทิญาณ์ เป็นลูกสาวของสมบูรณ์ นววัฒนทรัพย์ ผู้ก่อตั้งบริษัท ครีเอชั่นบีจูส์ จำกัด ผู้ค้าอัญมณีชื่อดัง และยังเป็นเครือญาติเดียวกับผู้ค้าทองอันดับต้นๆ ของไทยอย่าง วายแอลจี กรุ๊ป

ปัจจุบันเจเนอเรชันรุ่นลูกๆ ของตระกูลนี้ ยังสืบสานธุรกิจกงสี มีเพียงฉัตทิญาณ์ ลูกสาวของสมบูรณ์ ที่ตัดสินใจขอเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง หลังผละออกจากอกผู้เป็นพ่อได้ไม่ถึงปี

และการที่เธอออกมาเผชิญชีวิตด้วยตัวเอง หลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากธุรกิจกงสีมานานหลายปี ซึ่งครั้งหนึ่งพ่อของเธอกล่าวว่า “ลูกฝึกฝนธุรกิจนี้จนชำนาญ ต่อไปหากต้องออกมาทำเอง พ่อเชื่อว่า หนูต้องประสบความสำเร็จในทุกๆ ธุรกิจที่ทำ”

เอมมี่ พลางยิ้มพร้อมบอกว่า ได้เรียนรู้ธุรกิจอัญมณีตั้งแต่เล็ก ทำงานตั้งแต่ระดับล่าง ทั้งเรื่องการตรวจเอกสาร การทำบัญชี หรือแม้แต่ออกแบบสินค้า ติดต่อคู่ค้า จนถึงส่งสินค้าตามออเดอร์ทำจนรู้สึกว่า “อิ่มตัว” จึงคิดถึงคำสอนของพ่อเมื่อครั้งในอดีต เลยขออนุญาตและปรึกษาพ่อและแม่ว่า อยากลองหาความท้าทายใหม่ในชีวิตดูบ้าง

“คลุกคลีงานตรงจุดนั้น จนเราชำนาญ ขณะที่ธุรกิจของพ่อและเครือญาติก็ทำเหมือนกัน จนรู้สึกว่า อยากลองหาความท้าทายใหม่ เลยปรึกษาพ่อดู ท่านก็บอกว่า ลองดูก็ได้

พร้อมกับกล่าวว่า การที่เอมมี่มีความชำนาญในธุรกิจอัญมณี ธุรกิจที่ต้องใส่ใจในทุกๆ รายละเอียดของสินค้า หากเราชำนาญในทุกด้านๆ แล้วพ่อเชื่อว่า ไม่ว่าจะดำเนินธุรกิจใดๆ เอมมี่ต้องประสบความสำเร็จ”

คำสอนของพ่อ ก่อเกิดเป็นแรงบันดาล จนคิดว่า หากต้องออกมาจากธุรกิจครอบครัวจริงๆ สินค้าตัวแรกที่จะวางขายคือ อะไร…?

ฉัตทิญาณ์ ใช้เวลาศึกษาตลาด เพื่อหาสินค้าตัวแรกในการดำเนินธุรกิจอยู่ไม่นาน จนพบว่า สินค้าเกี่ยวกับผู้หญิงน่าจะเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับตัวเองมากที่สุด

“แรกๆ ก็ดูว่า อะไรเหมาะสมกับบุคลิกเรามากที่สุด คิดไปเรื่อย ลองเดินตลาดก็มาก ดูจากทีวี อินเทอร์เน็ตก็เยอะ จนคิดว่า หากต้องจับธุรกิจจริงๆ สินค้าตัวแรกต้องสามารถรองรับตลาดผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย”

ทำให้เธอนึกถึงเวลาเดินทางไปติดต่อกับลูกค้า หรือเดินทางท่องเที่ยว สิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงรู้สึกมีความกังวลมากๆ คือ ผ้าอนามัย จากนั้นทุกอย่างจึง Focus ที่ธุรกิจนี้

“เลยลองหาข้อมูลดูว่า หากต้องการทำธุรกิจนี้จริงๆ (พลางยิ้ม) อะไรคือ จุดขายของสินค้ากลุ่มนี้ และกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนการวางจำหน่าย เพื่อให้ลูกค้ารับรู้ถึงแบรนด์สินค้าตัวแรกของตัวเอง”

ฉัตทิญาณ์ เล่าว่า สินค้ากลุ่มนี้ในตลาดโลกคนส่วนใหญ่ให้การยอมรับอยู่ในตลาดหนึ่ง (ผ้าอนามัยแบบสอด) ขณะที่การยอมรับของผู้บริโภคคนไทยอยู่ในตลาดผ้าอนามัยแบบแผ่น เรียกว่าแทบเป็นไปไม่ได้ หากต้องการเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติของการใช้สินค้ากลุ่มนี้

“ที่ตัดสินใจนำเข้าแบรนด์ KiraKira ผ้าอนามัยแบบสอด มาเปิดตลาดในเมืองไทย เพราะเห็นช่องทางการตลาดยังไม่มีคู่แข่งมากนัก อีกทั้งคิดว่าจุดขายหลักของสินค้าคือ แบรนด์ๆ นี้ผ่านการรับรองความปลอดภัยสูงสุด 3 สถาบัน

ถามว่าทำไมจึงอิมพอร์ตผ้าอนามัยเข้ามา ก็ต้องบอกว่า ดูท้าทายมาก โดยเฉพาะการเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติของผู้หญิงไทยรุ่นใหม่

เอมมี่อาจเป็นผู้หญิงรุ่นใหม่ จุดนี้ก็ยอมรับ แต่เอมมี่เชื่อว่า สินค้าแบบนี้ต้องใช้เวลา ให้ลูกค้าได้รับรู้ถึงการเป็นตัวเลือกใหม่สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาแพ้ผ้าอนามัยแบบแผ่นโดยทั่วไป สาวนักกีฬาที่ต้องการความคล่องตัว และสาวรุ่นใหม่ที่ชอบความกระฉับกระเฉง”

โจทย์การตลาดช่วงแรก (8 เดือนที่แล้ว) เอมมี่ บอกว่า เกือบถอดใจเหมือนกัน แต่ปัจจุบันถือว่า เปลี่ยนแปลงไปมาก จากการที่ลูกค้าให้การยอมรับดีขึ้น จากยอดขายเดือนละไม่ถึงกล่อง จนไต่ระดับมาถึงยอดขายหลักล้านบาท ทำให้เธอมีกำลังขึ้นมาก จนเธอกล้าตั้งเป้าหมายระยะกลางได้แล้ว

“3 ปีข้างหน้า เมื่อนึกถึงผ้าอนามัยแบบสอด ต้องนึกถึงแบรนด์ KiraKira เป็นอันดับแรก” เอมมี่ บอก และเมื่อถามถึงธุรกิจตัวต่อไป เธอหัวเราะพร้อมกับบอกว่า มีอยู่ในใจแล้ว แต่ขออุบไว้ก่อน”

การก่อเกิด “บริษัท นววัฒนา กรุ๊ป จำกัด” ผู้นำเข้าผ้าอนามัยแบรนด์ KiraKira จึงเป็นเสมือนหนึ่งการแตกหน่อก่อผลของคนตระกูล “นววัฒนทรัพย์” ที่สร้างทางสายใหม่ได้ดีทีเดียว

หัวใจธุรกิจนำเข้าผ้าอนามัยแบรนด์ KiraKira
– กลยุทธ์การบุกตลาดคือ นำเสนอความคุ้มค่า (Value for Money)
– แพ็กเกจที่สวยงาม
– ความสะอาด ปลอดภัย หลังได้รับการรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ของอิสราเอล และยังผ่าน FDA หรือสำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยาจากสหรัฐอเมริกาและไต้หวัน