เปิดอัตรากำไร Physical Asset หลังรัสเซีย หันซื้อแบรนด์เนม หวังรักษามูลค่าเงิน เครื่องประดับผลตอบแทนสูงสุด 67% ภายใน 10 ปี

ในตอนนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ชาวรัสเซียเองต่างก็พบกับวิตกฤตไม่ต่างจากทั่วโลกเช่นกัน 

โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้เศรษฐกิจถดถอย และมูลค่าเงินรูเบิลลดลงมากเป็นประวัติการณ์ เหล่ามหาเศรษฐีรัสเซียจึงพากันหาทางออก ในการแปรค่าเงินอยู่ในรูป Physical Asset หรือ สินทรัพย์ที่จับต้องได้ 

 

รัสเซียผู้เปิดความขัดแย้ง สร้างบาดแผลให้กับประเทศอื่นนั้น ในความเป็นจริงแล้วตอนนี้การคว่ำบาตรจากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกก็ทำให้รัสเซียเองเจ็บตัวไม่แพ้กัน

 

ทั้งการยกเลิกการร่วมทุนของแบรนด์ยักใหญ่ต่าง ๆ  การถูกขับออกจาก SWIFT ระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ และวิกฤตค่าเงินรูเบิลของรัสเซียที่อ่อนค่าลงถึง 1 ใน 3 ของค่าเงินปกติ

 

ซึ่งสิ่งที่ชาวรัสเซียสามารถทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ คือการพยายามรักษามูลค่าเงินที่ถืออยู่ให้ได้มากที่สุด โดยมีการไปซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของแบรนด์ต่าง ๆ ที่ยังมีจำหน่ายเหลืออยู่ภายในประเทศ ก่อนที่ค่าเงินเดิมจะไม่สามารถซื้อได้ หรือวิธีจากเหล่ามหาเศรษฐีที่ส่วนใหญ่เน้นการลงทุนไปที่ Physical Asset (สินทรัพย์ที่จับต้องได้)  ที่มีทั้งเครื่องประดับ กระเป๋า และนาฬิกาแบรนด์เนม 

 

โดยหนึ่งในแบรนด์เนมราคาสูงที่บรรดาเศรษฐีชาวรัสเซียแห่ซื้อเก็บมากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา คือ Bvlgari แบรนด์เครื่องประดับเก่าแก่จากอิตาลี ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์ที่สินค้ามีแนวโน้มมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ซึ่งเป็นที่น่าสนใจว่า ในมุมมองของนักลงทุนปัจจุบันคงไม่ได้มองการลงทุนที่อยู่ในรูปแบบกระดานหุ้น ทองคำ หรือคริปโตฯ เพียงอย่างเดียว การลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ และเป็น Passion Investment ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ 

 

มีรายงานจากเว็บไซต์ Knight Frank (บริษัทให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินเพื่อการลงทุน) รายงานผลการลงทุนของสินทรัพย์รูปแบบจิวเวอร์รี่ที่มีผลกำไร -1% ในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งถ้าหากเก็บไว้เก็งกำไรในระยะยาวถึง 10 ปี มีแนวโน้มจะได้รับตอบแทนราว 67%

 

ในขณะเดียวกันสินค้าจำพวกนาฬิกาแบรนด์เนม ก็มีแนวโน้มผลตอบแทน 5% ใน 1 ปี และ 89% ในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Rolex หรือ Omega ต่างก็เป็นแบรนด์ที่น่าสนใจสำหรับการสะสมเพื่อการลงทุน

 

สำหรับกระเป๋าแบรนด์เนมมีผลตอบแทน 17% ภายใน 1 ปี และ 108% ในอีก 10 ปี โดยหนึ่งในแบรนด์ที่น่าสนใจอย่าง Hermès นั้น ได้รับขนานนามว่าเป็น ‘Collectible Handbags’ หรือ ‘กระเป๋าถือของสะสม’ ซึ่งไม่ใช่กระเป๋าสำหรับในการใช้งาน หรือเพื่อความสวยงาม แต่ Hermès ถือเป็นของสะสมที่สามารถเก็งกำไรได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้ยังมี Chanel, Gucci, Louis Vuitton และ Prada ที่บรรดานักลงทุนเลือกสะสมเช่นกัน

 

ซึ่งนอกจากของใช้ส่วนตัวแล้ว ยังมีสินค้าประเภทเครื่องแอลกอฮอล์ที่สามารถลงทุนเก็บสะสมเพื่อเพิ่มมูลค่าในระยะยาวได้อีกด้วย

 

 ไวน์ อีกหนึ่งทางเลือกที่นักลงทุนไวน์มองว่ามีมูลค่าสูงคล้ายคลึงกับทองคำ ซึ่งไวน์มีอัตราผลตอบแทนในระยะ 1 ปีที่ 13% และ 10 ปีที่ 127% โดยมีแบรนด์ชื่อดังอย่าง Chateau haut-brion ซึ่งราคาในบางรุ่นสามารถขายออกได้ในราคา 2,000 ปอนด์ (ราว 86,889 บาท) จากราคาเดิมอยู่ที่ราคา 100 ปอนด์ (หรือประมาณ 4,344 บาท) 

 

และสุดท้าย วิสกี้หายาก โดยในช่วง 1 ปีแรกมีอัตราผลตอบแทน -4% แต่หากทำใจแข็ง เก็บระยะยาวได้ถึง 10 ปี ก็มีแนวโน้มผลตอบแทนได้มากถึง 478% เลยทีเดียว โดยมีแบรนด์ที่น่าสนใจอย่าง Braeburn หรือ Cask 88 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการลงทุนใดก็ตามย่อมมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ในปัจจุบัน นักลงทุนทุกคนจึงควรศึกษาข้อมูลให้ดี 

 

ข้อมูล news.co.uk / moneycontrol