เทียบผลตอบแทนรายกลุ่มปี 2021 กลุ่มเหล็ก-บรรจุภัณฑ์โดนลากขึ้น ดันผลตอบแทนทะลุจอ!!

ถึงแม้ปี 2564 ที่ผ่านมา นักลงทุนในตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบจากการผันผวนของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ที่เคลื่อนไหวตามวิกฤตเศรษฐกิจจากโรคระบาด อย่างไรก็ตาม ข้อมูล ณ สิ้นปี 2564 (สิ้นสุดวันที่ 30/12/64) พบว่า SET สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน14.37% นับตั้งแต่ต้นปี 2564 (YTD)

ซึ่ง ‘Business+’ ได้รวบรวมข้อมูลผลตอบแทนของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่จดทะเบียนใน SET โดยพบว่า ส่วนใหญ่แล้วยังสร้างผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุน

โดยกลุ่มแรกที่ผลตอบแทนสูงที่สุดคือ กลุ่มเหล็ก และผลิตภัณฑ์โลหะ (STEEL) สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้สูงถึง 80.16% นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งบริษัทในกลุ่มต่างได้รับอานิสงส์จากราคาเหล็กในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลดีต่อราคาขายสินค้าโดยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่าตัว นั่นเป็นตัวดึงกำไรสุทธิของบริษัทเหล่านี้ปรับตัวขึ้น และราคาหุ้นจึงสะท้อนผลประกอบการที่ดีตามไปด้วย

สำหรับบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) สูงที่สุดในกลุ่มคือ บริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GJS อันดับที่ 2 คือ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH

กลุ่มที่ 2 ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีเช่นเดียวกันคือ บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับบริการเฉพาะกิจ (PROF) สร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 53.71% นับตั้งแต่ต้นปี

สำหรับบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) สูงที่สุดในกลุ่มคือ บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB อันดับที่ 2 คือ บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ SO

กลุ่ม 3 ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีคือกลุ่มบรรจุภัณฑ์ (PKG) สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้สูงถึง 49.30% นับตั้งแต่ต้นปี โดยกำไรสุทธิของบริษัทในกลุ่มส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้นเป็นผลมาจากความต้องการซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค และสินค้าเพื่อสุขอนามัยส่วนตัว ซึ่งเป็นอานิสงส์จากโควิด-19 ที่ทำให้ผู้ประกอบการ และประชาชนหันมาใส่ใจเรื่องความสะอาดมากขึ้น ดังนั้น สินค้าประเภทบรรจุภัณฑ์จึงมียอดขายที่เพิ่มขึ้น

สำหรับบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) สูงที่สุดในกลุ่ม คือ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP อันดับที่ 2 คือ บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PTL

และมีเพียงแค่ 3 กลุ่มอุตสาหกรรมเท่านั้น ที่ปรับตัวลดลง คือ กลุ่มของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ (PERSON) ปรับตัวลดลง 14.14% ,กลุ่ม สินค้าอุปโภคบริโภค (CONSUMP) ปรับตัวลดลง 3.08% และกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF&REIT) ปรับตัวลดลง 1.68%

โดย 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลตอบแทนเป็นลบ เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ค่อนข้างสูง จึงส่งผลให้นักลงทุนเลือกขายลดความเสี่ยง เป็นตัวกดดันราคาและผลตอบแทนที่ต่ำลง

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

ข้อมูล : SET , ตลาดหุ้นไทย ,ผลตอบแทน

ติดตาม Business+ ได้ที่ thebusinessplus.com
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHCuS

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #SET #ตลาดหุ้น #ราคาเหล็ก