ธนาคารยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ จำกัด ประเทศไทย ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทย มีเครือข่ายทั่วประเทศ 149 สาขา (ข้อมูลถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564) ซึ่งอยู่ในกลุ่มธนาคารยูโอบี (ธนาคารชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย มีเครือข่ายระดับโลกที่ประกอบด้วยสำนักงานมากกว่า 500 แห่ง ใน 19 ประเทศและเขตการปกครอง ทั้งในเอเชียแปซิฟิก ยุโรปตะวันตก และอเมริกาเหนือ) ได้เปิดเผยข่าวใหญ่ในวันนี้ (14 ม.ค.2565)
เกี่ยวกับการทำข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อกิจการลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม ซึ่งจะทำคำเสนอซื้อ ธุรกิจลูกค้ารายย่อย รวมไปถึงสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและมีหลักประกัน ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และธุรกิจเงินฝากรายย่อยรวมไปถึงพนักงานธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป (มีพนักงานประมาณ 5,000 คน)
โดยธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป มีสินทรัพย์สุทธิ 4,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 98,637.24 ล้านบาท) และมีฐานลูกค้าราว 2.4 ล้านราย (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564) มีรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ราว 0.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ .
ซึ่งการเสนอซื้อกิจการนี้จะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) และผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ให้กับธนาคารยูโอบีได้ทันที (ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกรรมนี้ในครั้งเดียว) และจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและขยายขอบเขตธุรกิจของธนาคารยูโอบีในอาเซียนได้อีกด้วย
เมื่อเราแบ่งลูกค้ารายย่อยตามภูมิศาสตร์ (Retail Customers by Geography) จะพบกว่า การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เข้ามาขยายฐานลูกค้าในหลายประเทศ
– ในประเทศมาเลเซีย ลูกค้าจะเพิ่มขึ้น 600,000 ราย รวมเป็น 1.5 ล้านราย
– ในประเทศไทย ลูกค้าจะเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านราย รวมเป็น 2.4 ล้าน
– ในประเทศอินโดนีเซีย ลูกค้าจะเพิ่มขึ้น 600,000 ราย รวมเป็น 1.2 ล้านราย
– ในเวียดนาม จะเปิดการเปิดตลาดใหม่ของธนาคารยูโอบี ด้วยฐานลูกค้าของซิตี้กรุ๊ปจำนวน 200,000 ราย
ซึ่งการขยายไปยัง 4 ประเทศนี้ จะส่งผลให้ภายหลังการซื้อกิจการธนาคารยูโอบีจะมีลูกค้ารายย่อยทั้งหมด 5.3 ล้านราย
และหากเรามองการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มลูกค้าภายหลังจากการเข้าซื้อกิจการ ด้วยการแบ่งกลุ่มลูกค้าตามระดับเงินฝาก และ/หรือเงินลงทุนจะพบว่า ธนาคารยูโอบี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก สำหรับกลุ่ม Affluent (กลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง มีเงินฝาก 5-10 ล้านบาท หรือบางแห่ง 10 ล้านบาทขึ้นไป) ซึ่งอยู่บนสุดของยอดพีระมิดจะเพิ่มขึ้น 30,000 ราย รวมเป็น 120,000 ราย
ในลูกค้ากลุ่ม Emerging Affluent (กลุ่มเศรษฐีเกิดใหม่) เพิ่มขึ้น 170,000 ราย รวมเป็น 270,000 รายและกลุ่ม Upper Mass (หรือกลุ่มผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ ที่มีเงินฝากและเงินลงทุนตั้งแต่ 1 – 5 ล้านบาท) ซึ่งเป็นฐานล่างสุดของพีระมิดจะเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านราย รวมเป็น 4.9 ล้านราย
ซึ่งการเพิ่มเข้ามาของกลุ่มลูกค้า Emerging Affluent และกลุ่ม Upper Mass ที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จะทำให้ธนาคารยูโอบีสามารถต่อยอดไปขยายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้อีกมากมาย เพราะกลุ่มลูกค้า 2 กลุ่มนี้เป็นที่หมายตาของธนาคารหลายแห่งอยู่แล้ว
การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ ธนาคารยูโอบี จะได้รับประโยชน์อย่างมากจากฐานลูกค้าที่มีอยู่แล้วของซิตี้กรุ๊ป รวมถึงได้บุคลากรและทีมงานที่มีประสบการณ์เข้ามาร่วมงานทันที (จะคุ้มค่าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมูลค่าการเข้าซื้อกิจการ และการเติบโตในอนาคต)
โดยจะมีการพิจารณาข้อเสนอเงินสดสำหรับการเสนอซื้อกิจการด้วยการคำนวณจากค่าพรีเมียมรวมซึ่งเทียบเท่ากับ 915 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (22,574 ล้านบาท) บวกกับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของธุรกิจลูกค้ารายย่อยเมื่อการโอนย้ายกิจการเสร็จสมบูรณ์
ซึ่งการเข้าซื้อกิจการในแต่ละประเทศจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารตามเงื่อนไขของแต่ละประเทศ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จระหว่างกลางปี 2565 ถึงต้นปี 2567
ที่มา : UOB
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ติดตาม Business+ ได้ที่ thebusinessplus.com
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHC
#Businessplus #ธนาคารยูโอบี #ซิตี้กรุ๊ป