ยุคพุ่งทะยานรถยนต์ EV ในจีน พร้อมสมรรถนะไม่ธรรมดา (ตอนที่ 2)

NIO EP9 รถคันแรกของ NIO เป็นรถสปอร์ต 2 ที่นั่ง เปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 ผลิตขึ้นครั้งแรก 6 คัน เพื่อขายให้ผู้ร่วมลงทุนคันละ 2.5 ล้านปอนด์ โดยมีพื้นฐานจากรถแข่ง Formula E วิ่งได้ 427 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งการชาร์จไฟใช้เวลา 45 นาที แต่ถ้าเปลี่ยนแบตจะใช้เวลา 8 นาที NIO EP9 มีอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้นทำได้ 2.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดย และสิ้นปีที่แล้ว รถรุ่นนี้ขายได้ทั้งหมด 16 คันต่อมาเป็นรุ่น NIO ES8 ซึ่งเป็นรถเอสยูวี 7 ที่นั่ง เริ่มผลิตขายในตลาดจีนปี 2018 มีแพกแบตเตอรี 3 ขนาดให้เลือกคือ 70 กิโลวัตต์ชั่วโมง, 84 กิโลวัตต์ชั่วโมงและ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง มีพิกัดระยะทางไกลสุด 311 ไมล์ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และสามารถใช้ระบบเปลี่ยนแบตเตอรีที่สถานีแบตเตอรี่ได้เริ่มขายครั้งแรกในราคา 65,000 ดอลลาร์ เป็นคู่แข่งของ Tesla Model X

เว็บไซต์ nio.com ระบุว่า ES8 เวอร์ชันล่าสุดมีการปรับปรุง 180 จุด มีพิกัดระยะทางไกลสุด 580 กิโลเมตรสำหรับแบตเตอรี 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง เร่งความเร็ว 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ใน 4.9 วินาที และมีระบบผู้ช่วยอัจฉริยะโนมิเมท 2.0 โดยระบบนำทางและช่วยขับขี่ NIO Pilot ซึ่งพัฒนาขึ้นเองราคาในประเทศจีนล่าสุดอยู่ที่ 67,783 ดอลลาร์

ขณะที่รุ่น NIO ES6 เป็นรถเอสยูวีขนาดกลาง 5 ที่นั่ง เริ่มผลิตขายในจีนปี 2562 พิกัดระยะทางวิ่งได้ไกล410-510 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับแพกแบตเตอรี สามารถเปลี่ยนแบตได้ที่สถานีเปลี่ยนแบต เป็นคู่แข่งของ Tesla Model Y  โดย NIO ES6 มีอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.7 วินาที พลังสูงสุด 544 แรงม้าพิกัดระยะทางสูงสุดสำหรับแพกแบตเตอรี 100 กิโลวัตต์ชั่วโมงอยู่ที่ 610 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง มีระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ NOMI และระบบนำทางและช่วยขับขี่ NIO Pilot ราคาตัวล่างประมาณ 75,000 ดอลลาร์สหรัฐและตัวท๊อปสุดราคา 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ต่อมาเป็นรุ่น NIO EC6 รถยนต์เอสยูวีครอสโอเวอร์ เปิดตัวในปี 2019 มีกำลัง 429 แรงม้า อัตราเร่งตัวล่าง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 5.6 วินาที ส่วนรุ่นท๊อป 4.7 วินาที ซันรูฟมีแพกแบตเตอรี 70 กิโลวัตต์ชั่วโมงและ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง พร้อมระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ NOMI และระบบนำทางและช่วยขับขี่ NIO Pilot โดย NIO EC6 วางจำหน่าย 3 รุ่น คือ ราคาเริ่มต้น 52,441 – 74,957 ดอลลาร์สหรัฐ

และรุ่นสุดท้ายคือ NIO ET7 เพิ่งเปิดตัวต้นปีมานี้เอง ซึ่ง NIO ET7 เป็นเก๋งซีดาน ออกแบบมาให้เป็นคู่แข่งกับ Model S ของ Tesla โดยเป็นโมเดลที่สร้างความหวือหวาในวงการตลาดรถยนต์ EV อย่างมาก เนื่องจากมีรูปลักษณ์ที่สวยงามหรูหรา มีแพกแบตเตอรี 3 ออปชัน 70 กิโลวัตต์ชั่วโมง สำหรับพิกัดระยะทาง 311 ไมล์ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมงสำหรับ 435 ไมล์ และ 150 กิโลวัตต์ชั่วโมงสำหรับ 621 ไมล์ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

ด้านสมรรถนะของ NIO ET7 มีมอเตอร์คู่ พลังรวม 644 แรงม้า วิ่งได้ 0 – 60 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 3.9 วินาที มาพร้อมกับระบบสื่อสารและบันเทิงไฮเทคเต็มพิกัด พร้อมด้วยระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่บริษัทออกแบบเอง และผ่านการทดสอบในรัฐแคลิฟอร์เนียที่สหรัฐอเมริกามาแล้ว

ส่วนราคาของ ET7 อยู่ที่ 448,000 หยวน หรือราว 69,350 ดอลลาร์สหรัฐ โดยลูกค้าสามารถซื้อในระบบไม่รวมแบตเตอรีและใช้บริการ BaaS ซึ่งสามารถเลือกเซ็ตของการเช่าแบตเตอรีหลายออปชัน ทั้งระยะเวลาและขนาดของแบตเตอรี เพื่อให้เหมาะกับการเดินทางและงบประมาณได้

รถของ XPeng

Xpeng G3 เป็นรถเอสยูวีที่เริ่มผลิตในเดือนกันยายน 2018 เดิมเป็นเวอร์ชันเบต้า แต่เปลี่ยนชื่อเป็น Xpeng Identity X ผลิตรุ่นพรีโปรดักชัน 15 คัน ให้กับนักลงทุน ก่อนจะผลิตเชิงพาณิชย์ในชื่อ G3 โดยรายงานข่าวจากเว็บ electrive.com ระบุว่ารถ Xpeng เริ่มวางจำหน่ายในประเทศจีน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2018 และเริ่มส่งไปขายต่างประเทศที่แรกคือ นอร์เวย์ ในเดือนธันวาคม 2020 โดยยอดขายส่วนใหญ่อยู่ในจีน

G3 สามารถแข่งกับ Tesla Model X หรือแม้กระทั่ง Model Y โดยรถของ Xpeng จะเป็นรถที่จัดเต็มในเรื่องเทคโนโลยี มีพิสัยระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้งสูงสุด 520 กิโลเมตร อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรใน 8.6 วินาที และอัดแน่นไปด้วยซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุด และเป็นจุดเด่นของรถสายพันธุ์นี้ ส่วนสนนราคามีตั้งแต่ 21,000 – 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ในส่วนของ Xpeng P7 เป็นรถ EV ซีดาน เริ่มวางขายในประเทศจีนเมื่อมิถุนายนปีที่แล้ว มีให้เลือกถึง 8 รุ่นย่อย และมีพิกัดระยะทางต่อการชาร์จให้เลือก 4 ระยะคือ 562 กิโลเมตร 586 กิโลเมตร 670 กิโลเมตรและ 706 กิโลเมตร อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.3 – 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีระบบนำทางและช่วยขับที่อัปเดททางอินเทอร์เน็ตได้ เป็นรถที่พุ่งเป้าแข่งกับ Tesla Model 3