ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคใน จีน มาแรง!! นักลงทุนทั่วโลกมองนโยบายรัฐสนับสนุน

ภายใต้การจัดการอันเข้มงวดของหน่วยงานกำกับดูแลของจีนทำให้บริษัทเทคโนโลยีตอนนี้อยู่สภาวะที่ค่อนข้างยุ่งยากเป็นพิเศษ เพราะจำเป็นต้องมีการปรับปรุงรูปแบบการดำเนินงานกันเสียใหม่เพื่อให้สอดรับไปกับกฎเกณฑ์การกำกับดูแลของฝากรัฐบาลที่ออกมาเพื่อควบคุมพวกเขา

ด้วยสาเหตุนี้ทำให้ตอนนี้นักลงทุนจำนวนมากเริ่มหันไปให้ความสนใจกับอุตสาหกรรมกลุ่มอื่นแทนอย่างอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอางไปจนถึงชานมไข่มุก กองทุนของจีนจำนวนมากกำลังมองไปที่คลื่นลูกใหม่ของนักช้อปปิ้งซึ่งกำลังจะกลายเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ดึงดูดเงินทุนจำนวนมากให้หลั่งไหลเข้าไปหาพวกเขา

เหล่านักลงทุนมองเห็นทางเลือกใหม่ที่นอกจากบริษัทเทคโนโลยีของจีนที่กำลังถูกรัฐบาลโจมตีอย่างหนัก พร้อมกับกระแสการบริโภคภายในประเทศซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตในครั้งนี้ และนั้นเท่ากับเป็นการผลักดันให้บริษัทภายในประเทศของจีนในด้านนี้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งของ Coca-Cola Co. และ Nike Inc. ไปด้วย

ปัจจุบันทางการปักกิ่งกำลังออกกฎเกณฑ์เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในกลุ่มยอดนิยมอย่างเทคโนโลยีให้มากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องกับบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายของจีนไม่ว่าจะเป็น อาลีบาบา, แอ๊นท์กรุ๊ป, เทนเซ็นต์ และล่าสุด ตีตี ซูซิง เป็นต้น นายมาร์ค ทาร์เนอร์ ผู้อำนวยการบริษัท China Skinny ซึ่งบริษัทด้านการทำการตลาดและแบรนด์ของจีนเผยว่า “กลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคในตอนนี้ตั้งแต่อาหาร แฟชั่น ฟิตเนส และธุรกิจสันทนาการ กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากนักลงทุน และนโยบายภาครัฐที่ออกมาสนับสนุนในขณะนี้”

นั้นทำให้ช่วงเวลานี้จะเป็นโอกาสให้แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนกระโดดเข้าแย่งส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งระดับโลก ซึ่งที่จริงแล้วในปี 2018 ตัวเลขจาก Preqin Ltd. ก็เผยให้เห็นว่าผู้ผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากจีนอย่าง Genki Forest และ KKR & Co. ผู้ผลิตสินค้าจากนมวัวได้รับเงินทุนมหาศาลไปถึง 62,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.8 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว แม้จะยังถือว่าน้อยเมื่อกับบริษัทเทคโนโลยีที่ได้รับไปถึง 112,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอีกมากสำหรับธุรกิจสินค้าสำหรับอุปโภคบริโภค

ขณะที่ตัวเลขจากการสำรวจของ Cosmetics Business ในปี 2020 ระบุว่ามูลค่าตลาดสินค้ากลุ่มเฉพาะแค่เครื่องสำอาง (Beauty and Personal care) อย่างเดียวในจีนมีมูลค่าสูงถึง 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาที่ 93,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่หากมองในแง่การเติบโตจีนถือเป็นอันดับ 1 โดยในปี 2020 เติบโตถึง 6.5% เลยทีเดียว และหากเจาะลงไปดูในรูปแบบการค้าปลีกและค้าส่งในกลุ่มธุรกิจนี้ของจีนพบว่ามีมูลค่ายอดขายในปี 2020 สูงถึง 340,020 ล้านหยวน หรือราว ๆ 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แม้ตอนนี้เบอร์ 1 ในตลาดนี้ของประเทศจีนยังเป็นแบรนด์ต่างชาติอย่าง L’Oréal และ Estée Lauder ซึ่งมีส่วนแบ่งรวมกันประมาณเกือบ ๆ 5% แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า Yatsen Holding Ltd. ซึ่งเป็นเจ้าของ Perfect Diary ยักษ์ใหญ่เครื่องสำอางในจีนจะเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลจากนโยบายของรัฐบาล โดยปัจจุบันพวกเขามีส่วนแบ่งตลาดราว 6.7% ในกลุ่มธุรกิจลิปสติกและมาสคาร่า และนั้นทำให้ทาง Euromonitor มองว่าเป็นสาเหตุที่ดึงดูดบริษัทด้านการลงทุนอย่าง Warburg Pincus และ Hillhouse ก่อนเข้าตลาดในเดือนพฤศจิกายนปีก่อนเข้ามา

หลังการตัดสินใจของคณะกรรมการกำกับดูแลด้านไซเบอร์ของรัฐบาลจีนที่มีคำสั่งให้ถอดแอปพลิเคชันของบริษัทตีตีชูสิง (DiDi Chuxing) ผู้ให้บริการรถรับส่งสัญชาติจีน ออกจากแพลตฟอร์มแอปสโตร์ของจีน ภายใต้ข้อหาว่า ตีตีชูสิง ทำการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายของจีน ทำให้อีกบริษัทเทคโนโลยีของจีนอย่าง LinkDoc Technology Ltd. ผู้ให้บริการด้านสุขภาพโดยใช้ AI ตัดสินใจระงับแผนการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ทันที

นั้นทำให้ตอนนี้นักลงทุนจึงมองไปที่ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่าในเวลานี้สำหรับการเคลื่อนย้ายเงินทุน เพราะไม่ต้องเผชิญหน้ากับกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเหมือนกับอุตสาหกรรมการศึกษาและเทคโนโลยี

เราจะเห็นว่าจีนกำลังมีการปรับกฎเกณฑ์ครั้งใหญ่ของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี การปรับครั้งนี้แอดมินมองว่าเป็นการปรับเพื่อกระชับอำนาจของฝากรัฐบาลจีน แต่จะไม่ถึงขั้นทำลายบริษัทเหล่านี้ ด้วยส่วนตัวเชื่อว่าหลังปรับทุกอย่างแล้วเสร็จบริษัทเหล่านี้ก็จะกลับมาอยู่ในทิศทางบวกอีกครั้ง

ด้านธุรกิจการศึกษาถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่มีผลกระทบต่อประชากรของจีนการเข้มงวดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะหากปล่อยปละละเลยในอนาคตอาจนำไปสู่ความวุ่นวายภายในประเทศเหมือนหลาย ๆ ชาติได้ จีนมีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้วทั่วโลกพวกเขาจึงเรียนรู้และไม่ทำตาม

เขียนและเรียบเรียง : เอกพล มงคลพัฒนกุล

ข้อมูล : Bloomberg, statista

#BusinessPlus #เศรษฐกิจจีน #อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง #การลงทุน #GDPจีน #ธุรกิจ #Investment #tech