ตลาดน้ำผลไม้กลับมาคึกคักอีกครั้ง 2แบรนด์ใหญ่งัดไม้เด็ดรุกตลาดเต็มกำลังโดย ทิปโก้ลุยตลาดน้ำผลไม้ภาคอีสานชูจุดเด่น Tipco Fruity Mix ตั้งเป้าหมายใหม่สู่ตำแหน่งผู้นำตลาดน้ำผลไม้โดยรวม
ทางด้านพี่ใหญ่ที่อยู่มาก่อนอย่างมาลีไม่น้อยหน้าปรับทัพครั้งใหญ่ในรอบ 40 ปีชูกลยุทธิ์ “4R: รีแบรนด์-รีออกาไนซ์-รีโนเวท-รีคอนเนค” มุ่งสู่การเป็น “ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก
ทิปโก้ เปิดตลาดอีสาน ตั้งเป้าผู้น้ำตลาดน้ำผลไม้รวม
เดือนกรกฎาคมนี้เป็นอีกเดือนที่น่าตื่นเต้นสำหรับวงการการตลาด โดยเฉพาะการที่ผู้นำตลาดน้ำผลไม้ 2 แบรนด์ใหญ่ออกมาเดินเกมส์กระตุ้นตลาดกันคึกคัก สาเหตุหนึ่งมาจากตลาดน้ำผักน้ำผลไม้มีอัตราการเติบโตที่สูงและรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่หันมาออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพและเลือกรัปทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ส่งผลให้ตลาดอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่เกี่ยวข้องกลับมาคึกคักและเดินหน้ารุกตลาดเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดมาครองให้ได้มากที่สุด เริ่มจากบริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัดผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้ภายใต้แบรนด์ “ทิปโก้ ผู้นำตลาดน้ำผลไม้ในเมืองไทยมานานกว่า 20 ปี ที่ยังคงเน้นการรุกตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยการชูกลยุทธ์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าด้วยการรุกตลาดต่างจังหวัดประเดิมจังหวัดขอนแก่น – อุดรธานี
ซึ่งการรุกตลาดภาคอีสานที่เป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพและมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสูง ส่งผลให้มีกำลังซื้อโดยรวมสูงขึ้นตามไปด้วย ในการรุกตลาดภาคอีสานในครั้งนี้ ทิปโก้ผู้นำตลาดน้ำผลไม้ระดับพรีเมียม ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 30% ได้ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ Tipco Fruity Mix น้ำผลไม้ผสมน้ำผักรวม ราคากล่องละ 10 บาท เป็นตัวนำทัพเปิดตลาดโดยเริ่มจากจังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดแรก
ขณะเดียวกัน ก็รุกทำกิจกรรมตลาดแบบครบวงจรไปพร้อมๆ กันโดยการจัดโรดโชว์ในต่างจังหวัด สนับสนุนงานภาครัฐและเอกชน แทนที่จะเน้นขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้กว้างขึ้น ทั้งโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านโชวห่วยทั่วไปในต่างจังหวัดเพียงอย่างเดียว ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างการรับรู้ เข้าถึง และสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้านั่นเอง
เอกพล พงศ์สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาทิปโก้จัดกิจกรรมการตลาด ประชาสัมพันธ์และโฆษณาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ Tipco Fruity Mix ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก
“หลังจากนี้ ทิปโก้ จะรุกตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้กลยุทธ์การตลาดแบบเข้าถึงใจลูกค้า ขยายฐานสู่ตลาดต่างจังหวัดโดยคิกส์ออฟที่ภาคอีสานประเดิมด้วยจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดอุดรธานี ด้วยการส่งแคมเปญ “Tipco Tip ดีๆ กับชีวิตสุดมันส์”
“ กิจกรรมฯ ในครั้งนี้เราได้ทุ่มงบการตลาดแบบครบวงจร โดยเน้นสื่อดิจิตอล สื่ออินเตอร์เน็ตเฟสบุ๊ค ทรูปคาราวาน รถแห่ บิวบอร์ด เพื่อต้องการให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึงขณะเดียวกันการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ณ จุดขายกิจกรรมโรดโชว์และ Sampling ห้างสรรพสินค้า แหล่งชุมชน ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความใกล้ชิดระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค โดยตรงและรวดเร็ว เรามั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคและมั่นใจว่ายอดจะตามเป้าที่วางไว้10-15 %จากปัจจุบันตลาดรวมน้ำผลไม้มีมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท และกลุ่มน้ำผลไม้พรีเมี่ยมมีมูลค่า5,200ล้านบาท อย่างแน่นอน
มาลี กรุ๊ป เดินเกมส์ 4R สู่การเป็นผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก
หลังจากทิปโก้ออกมาประกาศกลยุทธิ์ลุยตลาดเต็มที่เพียง1สัปดาห์ พี่ใหญ่ที่อยู่ในตลาดมากว่า 40 ปี อย่างมาลี กรุ๊ป เองก็ออกมาเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน
และเป็นที่น่าติดติดตามอย่างยิ่งเพราะการออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ มาพร้อมกับกลยุทธิ์ใหม่ เป้าหมายใหม่ที่ไกลกว่าเดิมมาก เพราะขณะที่ทิปโก้หวังครองตลาดในประเทศไทย และมาลีฝันใหญ่กว่า สู่การเป็น “ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก” ภายในปี 2564
และเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ว่า งานนี้มาลี ทุ่มงบลงทุนกว่า4000ล้านบาทในการปรับทัพครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ 40 ปี เปลี่ยนการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทจาก “ผู้ผลิตน้ำผลไม้” สู่การเป็น “ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก” ภายในปี 2564 ผ่านกลยุทธ์ “4R: รีแบรนด์-รีออกาไนซ์-รีโนเวท-รีคอนเนค” สร้างความแข็งแกร่งของบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพของผู้บริโภคในแต่ละประเทศได้อย่างตรงจุด
รุ่งฉัตร บุญรัตน์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของบริษัทฯ ในรอบเกือบ 40ปี โดยใน ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจส่งออกหรืออินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส ที่มาลีได้ผลิตและส่งผลิตภัณฑ์ออกไปจำหน่ายทั้งในแบรนด์มาลีและการรับจ้างผลิต (Contract Manufacturing หรือ CMG) ไปยังตลาดต่างๆ ทั่วโลกกว่า 40ประเทศ อาทิ ภูมิภาคCLMVจีน ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา โดยมีอัตราการเติบโตถึง 30-40%
ซึ่งสัดส่วนในการส่งออกและรับผลิตป้อนตลาดโลกนี้นับว่ามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของมาลี กรุ๊ป ซึ่งภารกิจต่อจากนี้ของมาลีกรุ๊ป คือการเพิ่มขีดความสามารถของบริษัทฯ สู่เป้าหมายการเป็นผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก ผ่านกลยุทธ์ ‘4R’ ที่มุ่งเน้นการสร้างความพร้อมในการดำเนินธุรกิจจากภายในองค์กรสู่ภายนอกองค์กร”
เจาะกลยุทธิ์เรือธง4R สู่ฝันใหญ่ระดับโลก
กลยุทธ์ที่ 1 รีแบรนด์ (Rebrand)
มาลี เป็นที่รู้จักในตลาดเมืองไทยมาเกือบ 40 ปี ในชื่อของ “มาลีสามพราน” ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น “มาลี กรุ๊ป” ในพ.ศ.2559 การปรับภาพลักษณ์ของบริษัทในครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยน Brand Identity ใหม่ ที่ได้รับการออกแบบให้ดูทันสมัย สื่อถึงความเป็นสากล และสะท้อนความเป็นตัวตนของมาลี ในการเป็นผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก ภายใต้คอนเซปท์ “Growing Well Together” ที่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ ที่ประกอบด้วย ผู้บริโภค พนักงาน เกษตรกร และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหลักในการดำเนินธุรกิจที่มาลี กรุ๊ป ยึดมั่นและให้ความสำคัญมาตลอด40 ปี
นอกจากการปรับ Brand Identity ใหม่ของมาลีกรุ๊ปแล้ว ในส่วนของผลิตภัณฑ์แบรนด์มาลี ก็ได้มีการปรับ Product Portfolio ใหม่ ครอบคลุมตั้งแต่การจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ให้สอดคล้องกับทิศทางของบริษัทที่มุ่งเน้นไปยังผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
กลยุทธ์ที่ 2 รีออกาไนซ์ (Reorganize)
สร้างความพร้อมให้กับบุคลากรภายในองค์กร โดยปรับโครงสร้างองค์กรทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดทัพทีมผู้บริหารใหม่ รวมถึงการคัดสรรและผลักดันบุคลากรเดิมของมาลีสู่ตำแหน่งที่เหมาะสมกับความสามารถ เพื่อให้เกิดการผสมผสานของทักษะและประสบการณ์ รวมทั้งการปรับโปรแกรมการพัฒนาบุคลากร ที่ประกอบด้วย
1)เพิ่มศักยภาพและทักษะการทำงานให้แก่พนักงานทุกระดับ โดยการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ เพื่อลดขั้นตอนการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น
2) จัดตั้งหน่วยงานใหม่ เช่น Business Development และInternational Business เพื่อเตรียมความพร้อมและรองรับสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก
3)การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน ด้วยการสร้างความสามัคคีให้พนักงานทุกคนร่วมมือและเชื่อใจกัน รวมถึงมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ
กลยุทธ์ที่ 3 รีโนเวท (Renovate)
จัดสรรงบลงทุนกว่า1,500 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงสถานที่ทำงาน เครื่องจักร และกระบวนการทำงาน ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่นำสมัย เครื่องมือในการวิจัยและพัฒนา ระบบการควบคุมคุณภาพสินค้า และระบบ Back Office เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ประกอบด้วย
1)การวางmaster plan โรงงานใหม่ทั้งหมดให้ทันสมัยขึ้น เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
2) ลงทุนเครื่องจักรใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มกำลังการผลิตจาก300ล้านลิตรเป็น330ล้านลิตรต่อปี รองรับความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศ
3) ระบบ Back Officeด้วยการพัฒนาระบบ IT ระบบ CRM รวมถึงการพัฒนาฐานข้อมูล (data mining) มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมงาน
4) ปรับปรุงออฟฟิศใหม่ เพื่อให้พนักงานมีความสุขกับการทำงาน ผ่านแนวคิดในการออกแบบ“ให้ออฟฟิศเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2”อาทิการแบ่งโซนระหว่างทำงานและผ่อนคลาย รวมทั้งการนำระบบปรับอากาศที่มีการถ่ายเทอากาศออกไปสู่ข้างนอก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของพนักงาน
และกลยุทธ์ที่ 4 รีคอนเนค (Reconnect)
มุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการเสริมแกร่งและพัฒนาความร่วมมือกับบริษัทพาร์ตเนอร์ชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ในการพัฒนาสินค้าใหม่ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิต การพัฒนาช่องทางขายและการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ Monde Nissin Corporation ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศฟิลิปปินส์, Mega Lifesciences ผู้ผลิตยาและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ เป็นต้น
แผนความร่วมมือในรูปแบบใหม่ของมาลีกรุ๊ปในครั้งนี้ จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการตอบสนองต่อสภาพตลาดและความต้องการของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
“เราคาดหวังว่ากลยุทธ์ 4R ที่กล่าวมาข้างต้น จะผลักดันให้มาลี กรุ๊ป ได้รับการยอมรับในฐานะ‘ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก’ ภายในพ.ศ. 2564 และจะช่วยให้สินค้าแบรนด์ ‘มาลี’ เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ผู้บริโภคมองหาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นรากฐานสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัท”
แม้ว่าจะอยู่ในตลาดเดียวกัน แต่ทั้ง 2แบรนด์ก็มีเป้าหมายที่ต่างกัน ทิศทางหลังจากนี้ของทั้งคู่คงเป็นการงัดกลยุทธิ์และเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก