จุดเริ่มต้น สงครามรัสเซีย – ยูเครน คือจุดจบของ ดอลลาร์สหรัฐ แล้วรึเปล่า?

สงครามที่เห็นอยู่ในตอนนี้ระหว่างรัสเซียและยูเครน (ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่ยูเครน แต่เป็นอังกฤษกับสหรัฐอเมริกา) ยังคงห่างไกลจากคำว่าสันติสุขมากนัก พร้อมกับสถานการณ์ในประเทศยูเครนที่เลวร้ายลงเรื่อย ๆ นาทีนี้ต้องบอกว่าจีนและรัสเซียได้ร่วมมือกันทำสงครามกับ ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ อย่างเป็นทางการแล้วมากกว่าถึงจะถูกต้อง และนั่นก็ทำให้รัสเซียมีทางเลือกเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องจากวิกฤตนี้ยิ่งผูกติดรัสเซียกับการเติบโตของจีนให้หนาแน่นขึ้น ขณะที่หลายฝ่ายยังมองถึงโอกาสเลี่ยงสงครามโลกครั้งที่ 3 แต่การแซงก์ชั่นจากฝั่งตะวันได้ไปเพิ่มสถานการณ์ที่ยุ่งมากให้กับ ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ในการพิจารณาทางเลือกสำหรับถอยกลับซะแล้ว

อย่างเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานายปูตินสั่งกองกำลังนิวเคลียร์ “เตรียมพร้อมขั้นสูงสุด” เพื่อเป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันของนาโต้ (ตรงนี้เป็นสัญญาณถึงการพูดคุยที่มีแนวโน้มที่ไม่รู้เรื่องรึเปล่า?) และในช่วงเวลาเดียวกันนายปูตินก็ได้พูดถึงการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจที่มีอยู่เพื่อยึดทรัพย์ของรัสเซียว่า “คุณก็เห็นอยู่ว่า ไม่ใช่แค่การกระทำของเหล่าชาติตะวันตกที่ใช้มาตรการที่ไม่เป็นมิตรต่อประเทศของเราทางเศรษฐกิจในมิติต่าง ๆ ฉันหมายถึงการแซงก์ชั่นที่ผิดกฎหมายที่ทุกคนรู้เกี่ยวกับมันเป็นอย่างดี”

มาตรการที่ไม่เป็นมิตรที่ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียเอ่ยถึงก็คือการตัดธนาคารกลางและธนาคารพาณิชย์ รวมไปถึงบริษัทของรัสเซียทั้งหมด (อาจจะมียกเว้นบางแห่ง) ออกจากระบบการชำระเงินระหว่างประเทศอย่าง SWIFT ซึ่งสหรัฐอเมริกาคุมอยู่ (อารมณ์จิ๊กโก๋คุมซอย)

ซึ่งตรงนี้ถือเป็นเรื่องราวที่สำคัญไม่แพ้การสั่งให้มีการดำเนินการปฏิบัติการทางทหารในยูเครนของผู้นำรัสเซียเลย หรืออาจจะใหญ่กว่าด้วยซ้ำไป โดยการที่ประเทศมหาอำนาจฝั่งตะวันตกที่นำโดยสหรัฐและอังกฤษได้ลงโทษรัสเซียผ่านการถอดออกจากระบบ SWIFT นั้นจะทำให้ GDP ของรัสเซียหายไป 5%

การใช้งาน SWIFT ไม่ได้เท่ากับรัสเซียค้าขายกับใครไม่ได้ทั้งสิ้น แม้รัสเซียจะมีเงินก็ตาม (ทำไมถึงบอกว่ารัสเซียมีเงิน ดูจากทุนสำรองระหว่างประเทศที่รัสเซียมีอยู่ 630,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับหนี้สินของภาคเอกชน 317,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ของภาครัฐอยู่ที่ 76,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บวกลบแล้ว รัสเซียมีการเงินเป็นบวกนั่นเอง) เพราะธนาคารกลางรัสเซียจะไม่ได้รับบริการจากระบบนี้เพราะถูกขึ้นบัญชีดำเอาไว้ และมันจะนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ของธนาคารกลางรัสเซียซึ่งจากข่าวล่าสุดมีการประเมินว่าโอกาสเกิดขึ้นมากถึง 56% เลยทีเดียว (การผิดนัดชำระหนี้จะทำให้ต้นทุนทางการเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากการถูกลดอันดับเครดิตเรตติงซึ่งจะเกิดขึ้นกับทั้งรัฐบาลและภาคเอกชน) แม้รัสเซียจะมีเงินในรูปเงินตราต่างประเทศอยู่ที่ 450,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ฝั่งเอกชนมี 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อถูกแช่แข็งหรืออายัดทรัพย์สินตรงนี้ก็เท่ากับสภาพคล่องในระบบหายไปเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

คุณเจมส์ ริคคาร์ดส ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์และ CIA เก่า ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “ทีมงานที่ขาดความเข้าใจของนายโจ ไบเดน ไม่เข้าใจว่าทุก ๆ การชำระเงิน ทุก ๆ การค้ามีสองฝั่ง เมื่อฝั่งหนึ่งหายไปอีกฝั่งก็หายไปด้วยเช่นกัน และมันเป็นอันตรายต่อระบบธนาคารโลก การเชื่อมต่อนั้นหนาแน่นและใหญ่โตมโหฬาร นี่จะนำไปสู่วิกฤตสภาพคล่องที่เลวร้ายมากกว่าที่เคย”

ซึ่งปกติทุนสำรองของธนาคารกลางรัสเซียโดยทั่วไปแล้วถูกควบคุมโดยเหล่าธนาคารต่างชาติ ถ้าธนาคารต่างชาติเหล่านี้ตัดสินใจที่จะระงับการเข้าถึงทุนสำรอง รัสเซียจะเหลือแค่สินทรัพย์ที่จับต้องได้อย่าง น้ำมันและทองคำ ที่สามารถช่วยได้ยามคับขัน (จริง ๆ แล้วรัสเซียมีการพึ่งพาตนเองในมิติอื่น ๆ มากกว่านั้น โดยเฉพาะด้านความมั่นคงทางอาหาร)

นั่นทำให้ ค่าเงินรูเบิล ถูกคาดว่าจะพังทลายลงจากการแซงก์ชั่นครั้งนี้

โดยผลลัพธ์การพังทลายของรูเบิลก็เกิดขึ้นแทบจะในทันทีจากความต้องการที่ลดลงผ่านการเทขายพันธบัตรรัฐบาลของรัสเซีย โดยในวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2022 ค่าเงินลดลงมากกว่า 30% (1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 119.90 รูเบิล) พร้อมภาพคนแห่ไปถอนเงินออกจากตู้เอทีเอ็มในกรุงมอสโกซึ่งมีคนต่อคิวกันมากกว่า 70 คิว และ 40 นาทีเงินถูกถอนหมดไม่เหลือจากตู้ (Bank Run) และได้นำเศรษฐกิจของรัสเซียไปยืนอยู่ที่ขอบหน้าผาในทันที

และในวันเดียวกันทางธนาคารกลางรัสเซียก็ได้ขึ้นดอกเบี้ยไปสู่ 20% จากเดิม 9.5% หรือทีเดียวมากกว่า 100% เพื่อป้องกันวิกฤตความเชื่อมั่นที่มีต่อค่าเงินรูเบิล และชะลอการทรุดตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมบังคับให้ชาวรัสเซียที่รับเงินเดือนเป็นสกุลเงินต่างชาติต้องเปลี่ยนเงินเดือนตรงนี้ประมาณ 80% มาอยู่ในรูปของรูเบิลเพื่อสร้างดีมานด์ของรูเบิล

ขณะเดียวกันการขึ้นดอกเบี้ยก็เพื่อดึงดูการฝากเงินในรูปสกุลรูเบิลให้มากขึ้นผ่านการมีผลตอบแทนที่สูงขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับทางภาคการเงิน และเพื่อให้แน่ใจว่าภาคการเงินยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง (การขึ้นดอกเบี้ยสู้ก็เพื่อทำให้รูเบิลมีแรงดึงดูดสอดคล้องกับความเสี่ยงที่มหาศาลอยู่ในขณะนี้)

ผลลัพธ์จากการปฏิบัติทางทหารของปูตินคือ จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ ระเบียบโลก รึเปล่า

ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีการพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับการแก้ไข ระบบสกุลเงินกระดาษ และความสำคัญของการมีทุนสำรองธนาคารที่จับต้องได้ โดยในช่วงเวลาที่สถานการณ์บนโลกเต็มไปด้วยความสงบสุขมันง่ายมากที่จะเพิกเฉยต่อคำถามที่เพิ่มขึ้นมามากมายเกี่ยวกับสิ่งหนุนหลังของ ระบบสกุลเงินกระดาษ นับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐที่มีการพิมพ์โดยธนาคารกลางสหรัฐ (FED) พร้อมการแจกจ่ายที่ไม่เป็นธรรมผ่านโปรแกรมต่าง ๆ อย่าง the Paycheck Protection Program ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากตลาดหุ้นเมื่อพวกมันอยู่ในจุดที่มีความคลั่งไคล้ คำถามสำคัญที่ถูกถามคือ ช่องว่างของการพิมพ์เงินแบบนี้เพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเองมันจะไปสิ้นสุดอย่างไร

ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและมหาอำนาจตะวันตกมันเป็นการเติมเชื้อเพลิงในเตาให้กับการถกเถียงในระดับโลกเกี่ยวกับ ระบบเงินกระดาษ ในวันนี้ ตรงนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งขนาดใหญ่ พวกเราได้อยู่ในขั้นการทำ The Great Reset เป็นที่เรียบร้อยแล้ว? และตอนนี้ จีนและรัสเซียกำลังเร่งความเร็วในการโละระบบซึ่งจะเกิดขึ้นแบบฉับพลัน และผันผวนมาก ๆ เกินจะจินตนาการได้

หลายคนตั้งคำถามว่าก่อนจะลุยใส่ยูเครนในวันนี้ รัสเซียได้มีการเตรียมตัวที่จะรับมือกับวิกฤตในมิติทางเศรษฐกิจมาก่อนไหม จากการคาดเดาเป็นไปได้ว่า ปูติน จะเลือกผลักดันการแซงก์ชั่นผ่านพันธมิตรอย่างจีน (บริษัท Gazprom ของรัสเซียได้ประกาศข้อตกลงกับทางจีนเกี่ยวกับการก่อสร้างท่อส่งน้ำมันใหม่ซึ่งจะสามารถป้อนได้มากถึง 50,000 ล้านคิวบิกต่อปีไปสู่ปักกิ่ง) แน่นอนว่าทั้งสองประเทศมองถึงการมีระบบการเงินที่อยู่นอกเหนือระบบการเงินในปัจจุบัน ในวันนี้เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่จะต้องตระหนักให้ดีเอามาก ๆ เลยก็คือ สหรัฐอเมริกากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางวิกฤตห่วงโซ่อุปทาน (พูดง่าย ๆ คือ หาเรื่องเขาแต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอดเลย)

ขณะที่รัสเซียมีทรัพย์สินที่จับต้องได้อย่างน้ำมันและทองคำ และพวกเขาถือเป็นผู้ผลิตน้ำมันเบนซินที่ขายไปให้สหรัฐฯ โดยในปี 2021 สัดส่วนของรัสเซียคิดเป็น 21% ของการนำเข้าน้ำมันเบนซินของสหรัฐฯ ทั้งหมด ขณะที่จีนคือผู้ผลิตทุกอย่างที่เป็นพื้นฐานที่คนฝั่งตะวันตกต้องใช้ในชีวิตประจำวัน จีนถือเป็นผู้นำเข้าสินค้าให้จากสหรัฐฯ มากที่สุดในปี 2020 และจีนคือคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันของสหรัฐฯ ด้วยมูลค่ากว่า 559,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บนการค้ารวมทั้งขานำเข้าและส่งออกระหว่างปี 2020 ข้อมูลจาก USTR

อย่างไรที่ 2 ประเทศจะจับมือร่วมกันลดบทบาทดอลลาร์สหรัฐ

ที่จริงความคิดการลดการพึ่งพาสกุลเงินหลักของโลกอย่างดอลลาร์สหรัฐของทั้ง 2 ชาติ อย่างรัสเซียและจีนไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด โดยทาง The Washington Post ได้เปิดเผย 3 ขั้นตอน ในการลดพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ พร้อมสร้างระบบการเงินทางเลือกขึ้นมา ขั้นตอนแรกคือ ลดการค้าแบบทวิภาคี (Bilateral Agreement) ในรูปของการชำระเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (การตกลงทางการค้าระหว่างสองประเทศเพื่อให้ สิทธิประโยชน์ในการลดภาษีนำเข้าระหว่างกัน โดยไม่ให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวกับประเทศอื่น) พร้อมให้สิทธิพิเศษบางอย่างหากจ่ายเงินในรูปสกุลเงินของคู่ค้า

ขั้นที่สองพวกเขาทั้งสองประเทศจำเป็นต้องสนับสนุนสถานะสกุลเงินหยวนเป็นสกุลเงินนานาชาติสำหรับการชำระและเป็นทุนสำรอง โดยตอนนี้จีนให้ประเทศต่าง ๆ กว่า 30 ประเทศเข้าถึงเงินหยวนได้ผ่านการทำข้อตกลงทางการค้าแบบทวิภาคี พร้อมลดการถือครองดอลลาร์สหรัฐ (พันธบัตรรัฐบาล) และให้รัสเซียถือครองเงินหยวนแทน พร้อมกับการเปิดตัว สกุลเงินดิจิทัลหยวน ในปี 2014 ภายใต้เป้าหมายในการทำให้ง่ายขึ้นในการเข้าถึงสกุลเงินหยวน สามสร้างระบบชำระเงินทางเลือกขึ้นมา โดยระบบนั้นจะอนุญาตให้ประเทศต่าง ๆ สามารถใช้สกุลท้องถิ่นของพวกเขาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐและยูโร ทั้งการค้าขายและการลงทุน

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา (2018 – 2022) รัสเซียเทขายพันธบัตรดอลลาร์สหรัฐทิ้งอย่างต่อเนื่องจากเกือบ ๆ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 จนปัจจุบันเหลือไม่ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินสกุลสำรองอื่น ๆ (ไม่นับทองคำ) เพิ่มขึ้นสวนทางเช่นกันมาตลอด 5 ปีอยู่ที่เกือบ ๆ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในฟากทองคำนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมาเพิ่มขึ้นมาตลอดอย่างมีนัยยะสำคัญอยู่ที่ราว ๆ 2,300 ตันในช่วงปี 2021

โดยสัญญาณการลดดอลลาร์สหรัฐของจีนและรัสเซียเริ่มตั้งแต่ปี 2014 เมื่อพวกเขาเริ่มมีการทำงานร่วมกันทางเศรษฐกิจ (ในปี 2020 สัดส่วนการค้าของจีนและรัสเซียที่ค้าขายในรูปดอลลาร์สหรัฐเหลือเพียงแค่ 40% นิด ๆ จากมากกว่า 80% ในปี 2015) ท่ามกลางความขัดแย้งจากการที่รัสเซียเข้าไปผนวกดินแดนอย่างไครเมียเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ การหาอะไรแทนที่ดอลลาร์สหรัฐสำหรับการค้าระหว่างประเทศกลายเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เพื่อหลีกเลี่ยงจากการถูกสหรัฐฯ แซงก์ชั่น

โดยคุณ Danielle DiMartino Booth ซึ่งอดีตเคยทำงานที่ the Federal Reserve Bank of Dallas ให้ความเห็นในปี 2020 ไว้ว่า “ทางเดียวที่จะโค่นดอลลาร์สหรัฐลงจากบัลลังก์สกุลเงินหมายเลขหนึ่งของโลกคือ ‘สงคราม’ ” และตอนนี้เราเหมือนอยู่ในสถานการณ์นั้นแล้ว ในฟากของจีนจะต้องทำงานคู่ขนานไปด้วยผ่านการออกสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองโดยมีทองคำอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับการเสื่อมค่าลงอย่างรุนแรงตลอด 18 เดือนที่ผ่านมาของดอลลาร์สหรัฐท่ามกลางมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ซึ่งถ้าทางจีนประกาศเรื่องนี้ได้ถูกจังหวะสถานะทางเศรษฐกิจของจีนก็จะก้าวขึ้นสู่ผู้นำโลกในทันที

เขียน แปล และเรียบเรียง : เอกพล มงคลพัฒนกุล

ที่มา : Quoththeraven.substack, Zerohedge, Statista, FT

ติดตาม Business+ ได้ที่ thebusinessplus.com
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHCuS

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #สงคราม #รัสเซียยูเครน #ยูเครน #จีน #รัสเซีย #ยุโรป #สหรัฐ #ดอลลาร์สหรัฐ #รูเบิล #ความขัดแย้ง #นาโต้