สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ได้สร้างผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจกับหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงทั้งจากยอดการส่งออกที่จะมีมูลค่าน้อยลง และยังได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตสินค้าที่สูงขึ้นอีกด้วย ประกอบกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังคงอยู่ เป็นสาเหตุที่ทำให้คาดการณ์ว่าหลายบริษัทจะมีผลประกอบการที่ไม่ดีนักในปี 2565
นอกจากนี้อีกหนึ่งผลกระทบตกเป็นของนักลงทุน และเจ้าของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความสั่นคลอนต่อการลงทุน เพราะนักลงทุนมองว่าหลายบริษัทจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่จะชอลอตัวลง
โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทระดับโลกลงอีกครั้งในปี 2565 หลังจากที่รัสเซียบุกโจมตียูเครนเมื่อปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวม
ข้อมูลจาก ‘บริษัทรีฟินิทิฟ (Refinitiv)’ บริษัทที่ให้ข้อมูลทางด้านการเงินแก่สถาบันการเงิน ธนาคารชั้นนำ และนักลงทุนทั่วโลก ระบุว่า นับตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.2565 ที่รัสเซียเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารในยูเครน บรรดานักวิเคราะห์ได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ระดับโลกในช่วง 12 เดือนข้างหน้าลง 0.5%
ทั้งนี้เมื่อแยกตามภูมิภาค บริษัทในยุโรปถูกปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการลง 2.8% ขณะบริษัทในเอเชียถูกปรับลดคาดการณ์ลง 0.45% ส่วนบริษัทสหรัฐคาดว่าจะมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.02%
โดยการปรับลดคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ราคาหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างหนัก โดยได้รับแรงกดดันจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อซัพพลายเชนและผลักดันให้ราคาต้นทุนสินค้าปรับตัวขึ้น
ทั้งนี้ ข้อมูลในเดือนที่ผ่านมานั้นบ่งชี้ว่า ธุรกิจพลังงานและเหมืองแร่เป็นภาคส่วนที่ถูกปรับประมาณการผลประกอบการขึ้นมากที่สุด แต่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย, การเงิน และอสังหาริมทรัพย์ ถูกปรับลดคาดการณ์รายได้ลง
สำหรับประเทศไทยพบข้อมูลว่าตั้งแต่เกิดสงครามขึ้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการซื้อขายค่อนข้างผันผวนโดยวันที่ 24 ก.พ.2565 จนถึง 14 มีนาคม 2565 (ณ วันเขียนบทความ) มีหลายบริษัทที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างหนัก ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ปรับตัวลดลงจำนวนมาก
โดย Market Capitalization ของ SET ล่าสุด ณ วันที่ 15 มี.ค.2565 อยู่ที่ 19.35 ล้านล้านบาท ลดลงจากเดือนก.พ.2565 ซึ่งอยู่ที่ 19.93 ล้านล้านบาท
ซึ่ง Market Cap ถือว่ามีความสำคัญกับนักลงทุนอย่างมาก เนื่องจากบริษัทที่มี Market Cap สูงเป็นบริษัทขนาดใหญ่ และมีสภาพคล่องสูง อีกทั้งมักเป็นบริษัทที่มีฐานะการเงินที่มั่นคง และผลกำไรเติบโตสม่ำเสมอ จึงสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นบริษัทที่ได้รับความไว้วางใจสูงจากนักลงทุน ทำให้เป็นบริษัทที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน เป็นผู้นำตลาด
ดังนั้น บริษัทขนาดใหญ่จึงจำเป็นต้องการที่จะรักษา Market Cap ให้คงอยู่ในระดับสูงต่อไป นอกจากจะดึงดูดนักลงทุนในประเทศแล้ว ยังเป็นบริษัทที่เป็นเป้าหมายการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกอีกด้วย
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ที่มา : SETSMART
ติดตาม Business+ ได้ที่ https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHCuS
#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #มูลค่าบริษัท #Market Cap