The Business Plus บิสิเนสพลัส
ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศไทยในปี 2565 ถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ราว 2.5-3.5% หลังจาก GDP ไตรมาสที่ 1 ปี 2565 เติบโต 2.2% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขเติบโตที่ใกล้เคียงกับประมาณการเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว 3.5%
สำหรับประเทศไทยเราได้เห็นการเติบโตของภาคการส่งออกที่โดดเด่นในช่วงเงินบาทอ่อนค่า และเมื่อมาดูในส่วนของความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เราก็พบข้อมูลที่ถือว่าเป็นปัจจัยบวกเช่นกัน เพราะดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 86.3 จากระดับ 84.3 ในเดือนพ.ค. ขณะที่ดัชนีฯคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 97.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 96.7 ในเดือนพฤษภาคม นั่นแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการเริ่มมีความเชื่อมั่น และเป็นแนวโน้มที่ดีว่าภาคอุตสาหกรรมโดยรวมจะเติบโตขึ้น
โดยข้อมูลจาก ‘สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย’ ที่ได้ทำการสำรวจความเชื่อมั่นผู้ประกอบการประจำเดือน มิ.ย.2565 จำนวน 1,335 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีปัจจัยบวกจากภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุม COVID-19 เพิ่ม ด้วยการปรับลดระดับการเตือนภัยจากระดับ 3 เป็น 2 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ทยอยกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น
รวมถึงการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่ภาคการผลิตมีทิศทางที่ดีขึ้นสอดคล้องกับดัชนีฯคำสั่งซื้อสินค้าและยอดขายในประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้การที่ประเทศจีนผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เมืองสำคัญ ทำให้สั่งซื้อสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น
ทีนี้เรามาดูกันบ้างว่า ภาคอุตสาหกรรมใดที่ถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโต โดยอิงจากผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิ.ย.2565
สำหรับอุตสาหกรรมที่มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น และมีค่าดัชนีฯมากกว่า 100 (แนวโน้มการเติบโตที่ดี) มีจำนวน 13 อุตสาหกรรม ได้แก่ ยานยนต์,ชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์,อาหาร,ยา,โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม,ผู้ผลิตไฟฟ้า,ปิโตรเคมี,ผลิตภัณฑ์ยาง,พลาสติก,เยื่อและกระดาษ,การพิมพ์และบรรจุภัณฑ์,อลูมิเนียม,ผู้ผลิต เครื่องมือแพทย์และสุขภาพ
ส่วนอุตสาหกรรมที่มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ เพิ่มขึ้นแต่มีค่าดัชนีฯ ต่ำกว่า 100 มีจำนวน 16 อุตสาหกรรม ได้แก่ สิ่งทอ,หนังและผลิตภัณฑ์หนัง,อัญมณีและเครื่องประดับ,ปูนซิเมนต์,หลังคาและอุปกรณ์,เซรามิก,เครื่องจักรกลการเกษตร,ต่อเรือซ่อมเรือและก่อสร้างงานเหล็ก,หล่อโลหะ,น้ำมันปาล์ม,ก๊าซ,พลังงานหมุนเวียน,หัตถกรรมสร้างสรรค์,การจัดการสิ่งแวดล้อม,เทคโนโลยีชีวภาพ,เครื่องสำอาง
อุตสาหกรรมที่มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ ลดลง แต่มีค่าดัชนีฯ มากกว่า 100 มีจำนวน 1 อุตสาหกรรม คือ เครื่องปรับอากาศและทำความเย็น
ส่วนอุตสาหกรรมที่มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ ลดลง แต่มีค่าดัชนีฯ ต่ำกว่า 100 มีจำนวน 15 อุตสาหกรรม ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม,รองเท้า,เหล็ก,แกรนิตและหินอ่อน,แก้วและกระจก,โรงเลื่อยและโรงอบไม้,ไม้อัด ไม้บางและวัสดุแผ่น,เฟอร์นิเจอร์,เครื่องจักรกลและโลหะการ,ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม,น้ำตาล,สมุนไพร,ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร,เคมี,ดิจิทัล
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นฯ (TISI) ที่มีค่าดัชนีอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นว่า
ภาวะการณ์ด้านนั้นๆ จะมีสภาพแย่ลง หรืออยู่ในระดับที่ไม่ดี
ขณะที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับ 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นว่าภาวะการณ์ด้านนั้นๆ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรืออยู่ในสภาพทรงตัวในระดับเดิม และค่าดัชนีอยู่ในระดับสูงกว่า 100แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นว่าภาวะการณ์ด้านนั้นๆ จะมีสภาพดีขึ้น หรืออยู่ในระดับที่ดี
ในมุมมองของ ‘Business+’ มองว่า ถึงแม้หลายภาคอุตสาหกรรมจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยลบจากผลกระทบจากต้นทุนพลังงานทั่วโลกเพิ่มขึ้น จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่จะส่งผลกระทบต่อกำไรของเกือบทุกอุตสาหกรรม
ขณะที่ปัญหาความขาดแคลนอุปทานที่ยังไม่คลี่คลายก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบต่อภาคอุตสาหกรรม แล้วยังซ้ำเติมผู้นำเข้าด้วยเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการยังต้องคอยจับตามองเศรษฐกิจโลก เพราะประเทศใหญ่ๆของโลกตอนนี้เจอปัญหาเดียวกันนั่นคือ เงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้การค้าขายกับประเทศเหล่านี้ซบเซาลง โดยเฉพาะสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
เรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ที่มา : FTI
ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/
.
#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม #ผู้ประกอบการ #ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม #สภาอุตสาหกรรม
