ประสบความสำเร็จอย่างงดงามสำหรับ เอกา โกลบอล ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) ของไทย หลังปีที่ผ่านมา มีรายได้ 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ทำรายได้ 1,000 ล้านบาท
เหตุผลสำคัญที่ทำให้เอกา โกลบอล ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) ของไทย มีผลประกอบการที่ดี มาจากการรุกเข้าเทกโอเวอร์โรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารในจีน-อินเดีย เมื่อปีที่ผ่านมา จนส่งทำให้รายได้ของบริษัท ฯ เพิ่มเป็น 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ทำรายได้ 1,000 ล้านบาท
ชัยวัฒน์ นันทิรุจ CEO หนุ่มวัย 45 ปี ที่บอกกับ Business+ ถึงโจทย์ท้าทายในปี 2565 ว่า เขาเตรียมขยายธุรกิจจากบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) ไปสู่ Green Product ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อรองรับกับเทรนด์ผู้บริโภคทั่วโลกที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และตั้งเป้าภายใน 5 ปี จะมียอดขายแตะ 3,000 ล้านบาท เติบโตเท่าตัว
แสวงหาโอกาสจากนักบุกเบิก
คำกล่าวของชัยวัฒน์ ดูจะมั่นใจในแผนเชิงรุกของบริษัท ฯ ที่มองตลาดบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคเอเชียปี 2564 เติบโตสูงขึ้นในทิศทางเดียวกันกับอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลก ที่คาดว่าจะเติบโตในอัตราไม่ต่ำกว่า 30-35% ต่อปี โดยเฉพาะกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) ที่เห็นการเติบโตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากปัจจัยการระบาดของไวรัส Covid-19 ทำให้ผู้บริโภคทั่วโลกเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค และต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยด้านอาหารและสุขอนามัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา อาทิ อินเดีย อินโดนีเซีย และบราซิล เป็นต้น
ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัท ฯ ลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานที่ประเทศไทย นับเป็นไลน์การผลิตใหม่ ลำดับที่ 10 มีกำลังการผลิตกว่า 350 ล้านชิ้นต่อปี หรือเพิ่มขึ้นอีก 15% จากกำลังการผลิตเดิม 2,500 ล้านชิ้นต่อปี มาอยู่ที่ 2,850 ล้านชิ้นต่อปี เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดภูมิภาคเชียและทั่วโลก โดยกำลังการผลิตใหม่ได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จ พร้อมเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์แล้วในเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ บริษัท ฯ ยังเตรียมขยายการลงทุนในประเทศอินเดียมากขึ้น โดยในปี 2565 เตรียมตั้งโรงงานใหม่ที่อินดีย 1 แห่ง ในเมือง PUNE โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
“ตลาดอินเดีย เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งในมิติของขนาดตลาดอาหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และอินเดียมีจำนวนประชากรสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก มีทรัพยากรด้านอาหารที่สมบูรณ์ ขณะที่เศรษฐกิจของอินเดีย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และรายได้เฉลี่ยของประชากรสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทางด้านความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในอินเดีย ก็เติบโตมากขึ้นทุก ๆ ปี “อินเดีย” จึงเป็นประเทศเป้าหมายในการขยายธุรกิจของเอกา โกลบอล”
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า “เอกา โกลบอล” ตั้งเป้าเติบโตเท่าตัว ภายใน 5 ปี จะมียอดขายเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายจะเป็น Top 5 ของบริษัทผู้นำนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารของโลก ขณะเดียวกันบริษัท ฯ ยังมีเป้าหมายที่จะมุ่งไปสู่การผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แบบครบวงจร 360 องศา ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร (Sustainable Growth) ในระยะยาว
ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ “กรีนโปรดักส์” อย่างจริงจัง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น และเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า ใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย
- บรรจุภัณฑ์ประเภท Bioplastic (PLA) ผลิตจากวัตถุดิบส่วนหนึ่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น มันสัมปะหลัง ข้าวโพด หรือ อ้อย เป็นต้น
- บรรจุภัณฑ์ประเภท Biodegradable ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมด และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และ
- บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) หรือ เรซิน รีไซเคิล ฯลฯ
ถึงตรงนี้เราจะเห็นว่า ก้าวต่อไปของ “เอกา โกลบอล” มองไกลจับเทรนด์ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้บริโภคต้องสัมผัสใกล้ชิดในชีวิตประจำวัน ซึ่งว่ากันว่า ทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อ
แบรนด์สินค้าและบริการสีเขียวก่อเป็นกำลังซื้อที่มีมูลค่าและขนาดตลาดมหาศาล ดังนั้น หากสินค้าหรือบริการใดที่นำเสนอจุดขายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ก็มีโอกาสด้านการขายมากขึ้นไปด้วย
กรณีของ “เอกา โกลบอล” ก็เช่นกัน กับเป้าหมายที่มองไว้ ภายใน 5 ปีจะมียอดขายเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท และตั้งเป้าจะเป็น Top 5 ของบริษัทผู้นำนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารของโลก บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงเป็น สปริงบอร์ด แน่นอน